คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 217/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลแรงงานมีอำนาจที่จะมีคำสั่งดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 ถ้าศาลแรงงานเห็นว่าการที่จำเลยมีคำสั่งปลดโจทก์ออกจากงานเป็นการเลิกจ้างอันไม่เป็นธรรมต่อลูกจ้าง แม้ว่าจะได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นการสอบสวนก่อนตามข้อบังคับแล้วก็ตาม มาตรา 49 มุ่งหมายที่จะให้ความคุ้มครองแก่ลูกจ้างนอกเหนือจากที่มีอยู่แล้วตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน กฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อกฎหมายมีวัตถุที่ประสงค์ในการให้ความคุ้มครอง ก็ย่อมให้สิทธิที่จะฟ้องขอรับความคุ้มครองอยู่ในตัว
การที่โจทก์ถูกจำเลยเลิกจ้างโดยโจทก์เห็นว่าการเลิกจ้างนั้นไม่เป็นธรรมต่อโจทก์ก็ย่อมถือได้ว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ตามกฎหมายแพ่งแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลย
ฟ้องโจทก์แปลได้ว่า โจทก์กล่าวหาว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมต่อโจทก์ ขอให้ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งตามมาตรา 49 ขณะนี้ ยังไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงต้องถือว่าอายุคามในกรณีเช่นนี้มีกำหนด 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164
เมื่อจำเลยดำเนินคดีอาญาต่อโจทก์ในข้อหาว่าโจทก์ผู้เป็นลูกจ้างลักทรัพย์ของจำเลยผู้เป็นนายจ้างนั้น หากจะฟ้องขอให้บังคับในทางแพ่งด้วย ก็ได้แต่ขอให้คืนทรัพย์สินหรือใช้ราคาทรัพย์ในฐานที่จำเลยถูกโจทก์กระทำละเมิดเท่านั้น ใช่ว่าจะขอให้ศาลบังคับให้โจทก์พ้นจากการเป็นลูกจ้างของจำเลยได้ไม่ การที่จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์ต้องหาว่าลักทรัพย์ของจำเลยได้หรือไม่นั้น จึงมิใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ศาลแรงงานไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นพนักงานของจำเลย ถูกจำเลยที่ ๑ ตั้งคณะกรรมการสอบสวน ทำการสอบสวนในกรณีที่ถูกกล่าวหาว่าลักน้ำใช้ อันเป็นการกระทำผิดฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง โดยกระทำความผิดทางอาญาฐานลักทรัพย์ คณะกรรมการเสียงข้างมาก ๔ ใน ๕ + มีมติว่าโจทก์ไม่ได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหา คงมีแต่กรรมการอีกคนหนึ่งไม่เห็นด้วยและทำความเห็นแย้ง แต่ต่อมาจำเลยมีคำสั่งปลดโจทก์ออกจากงาน อ้างว่าเป็นความผิดวินัยฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงและเป็นความผิดฐานลักทรัพย์นายจ้าง ข้ออ้างนั้นตรงข้ามกับมติของคณะกรรมการสอบสวน จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ ไม่เป็นธรรมต่อโจทก์ โจทก์อุทธรณ์คำสั่งต่อจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นประธานกรรมการการประปานครหลวง จำเลยที่ ๒ สั่งยืนตามคำสั่งจำเลยที่ ๑ โจทก์ถูกดำเนินคดีอาญาในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ แต่ศาลทหารกรุงเทพพิพากษายกฟ้อง ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของจำเลย ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ฯลฯ
จำเลยทั้งสองต่างยื่นคำให้การทำนองเดียวกันว่า คำสั่งปลดโจทก์ออกจากงานชอบด้วยกฎหมาย ข้อบังคับและระเบียบการของจำเลย ไม่เป็นการละเมิด โจทก์มีมีอำนาจฟ้อง เพราะไม่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายแพ่ง การพิจารณาโทษทางอาญาของศาลกับการพิจารณาโดยทางวินัยเป็นคนละส่วนกัน คดีโจทก์ขาดอายุความเพราะฟ้องเมื่อพ้นกำหนด ๑ ปีนับแต่วันถูกปลดออกจากงาน ฯลฯ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาว่า โจทก์มิได้กระทำความผิดให้จำเลยที่ ๑ สั่งโจทก์เข้าทำงานต่อไปในอัตราค่าจ้างที่ได้รับในขณะที่เลิกจ้าง คำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ ๑ มีคำสั่งให้ปลดโจทก์ออกจากงานนี้ ถึงแม้ว่าจะะได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นทำการสอบสวนก่อนตามข้อบังคับแล้วก็ตาม แต่ถ้าศาลแรงงานเห็นว่า การมีคำสั่งปลดโจทก์ออกจากงานนั้น เป็นการเลิกจ้างอันไม่เป็นธรรมต่อลูกจ้าง ศาลแรงงานก็มีอำนาจที่จะมีคำสั่งดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๙ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.๒๕๒๒ ได้ แม้ข้อบังคับของจำเลยที่ ๑ ผู้เป็นนายจ้างจะได้กำหนดไว้ให้คำวินิจฉัยสั่งการของประธานกรรมการการประปานครหลวง ในการพิจารณาอุทธรณ์ให้เป็นที่สุดก็ย่อมมีความหมายเพียงว่าจะอุทธรณ์ต่อไปยังผู้ใดที่มีอำนาจหน้าที่กำกับกิจการของการประปานครหลวงอีกไม่ได้เท่านั้นและการที่โจทก์ถูกจำเลยเลิกจ้างและโจทก์เห็นว่าการเลิกจ้างนั้นไม่เป็นธรรมต่อโจทก์เช่นนี้ ก็ย่อมถือได้ว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ตามกฎหมายแพ่งแล้วโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลย ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ต่อไปว่า มาตรา ๘ และมาตรา ๔๙ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ ไม่ใช่บทบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องอำนาจฟ้อง หากแต่เป็นเรื่องที่กำหนดให้เรื่องใด กรณีใด อยู่ในขอบเขตที่ศาลแรงงานจะมีอำนาจพิจารณาได้นั้น ข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่า มาตรา ๔๙ นั้น มุ่งหมายที่จะให้ความคุ้มครองแก่ลูกจ้างนอกเหนือจากที่มีอยู่แล้วตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน กฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อกฎหมายมีวัตถุที่ประสงค์ในการให้ความคุ้มครองก็ย่อมให้สิทธิที่จะฟ้องขอรับความคุ้มครองอยู่ในตัว
คำฟ้องคดีนี้แปลได้ว่า โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมต่อโจทก์ ขอให้ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งตามมาตรา ๔๙ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.๒๕๒๒ เวลานี้ยังไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงต้องถือว่าอายุความในกรณีเช่นนี้มีกำหนด ๑๐ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔ ไม่ใช่ ๑ ปี
ในข้อหาว่าโจทก์ผู้เป็นลูกจ้างลักทรัพย์ของจำเลยผู้เป็นนายจ้าง เมื่อจำเลยดำเนินคดีอาญาต่อโจทก์ให้มีการฟ้องร้องให้ศาลลงโทษนั้น หากจะฟ้องขอให้บังคับในทางแพ่งด้วยก็ได้แต่ขอให้คืนทรัพย์สินหรือใช้ราคาทรัพย์ในฐานที่จำเลยถูกโจทก์กระทำละเมิดเท่านั้นใช่ว่าจะขอให้ศาลบังคับให้โจทก์พ้นจากการเป็นลูกจ้างของจำเลยได้ก็หาไม่ การที่จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์ต้องหาว่าลักทรัพย์ของจำเลยได้หรือไม่นั้น จึงมิใช่ดคีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ภาค ๑ ลักษณะ ๓ หมวด ๒ ดังนั้น ในคดีที่จะวินิจฉัยว่าการเลิกจ้างโจทก์ไม่เป็นธรรมต่อโจทก์จริงหรือไม่นั้น ศาลแรงงานไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ดังนั้น แม้จะมีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีส่วนอาญาว่าโจทก์มิได้มีส่วนร่วมในการกระทำผิดฐานลักน้ำประปาของจำเลยผู้เป็นนายจ้าง แต่จำเลยก็ยังใช้ดุลพินิจพิจารณาสำนวนการสอบสวนทางวินัยและฟังว่าโจทก์กระทำความผิดจริงดังที่ถูกกล่าวหาแล้วมีคำสั่งปลดโจทก์ออกจากงาน ดังนี้ ก็ไม่อาจถือได้ว่าเป็นการเลิกจ้างลูกจ้างโดยไม่เป็นธรรมต่อลูกจ้าง
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลแรงงานกลางเป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์เสียทั้งหมด

Share