แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร จึงเป็นผู้ประกอบการค้าตามประมวลรัษฎากร มาตรา 78 และบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภทการค้า 11 โจทก์ต้องเสียภาษีการค้า โจทก์ซื้อที่ดินมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 และเพิ่งแบ่งที่ดินบางส่วนมาสร้างตึกแถวขึ้นภายหลัง เพื่อประสงค์จะขายตึกแถวพร้อมที่ดินโดยแบ่งเป็นคูหา ตึกแถวที่สร้างขึ้นใหม่จึงเป็นตึกแถวที่โจทก์สร้างขึ้นมาเพื่อขายหากำไรโดยเฉพาะ เงินได้จากการขายตึกแถวเป็นเงินได้พึงประเมินตามความหมายของประมวลรัษฎากร มาตรา 40(8)เพราะคำว่า “การอื่น” นอกจากที่ระบุไว้ใน (1) ถึง (7) ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 40(8) นั้นหมายถึงเงินได้จากการอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 40(1) ถึง (7) ก็ถือเป็นเงินได้ตามมาตรา 40(8)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมิน และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ในส่วนที่สั่งให้โจทก์ชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีการค้า จำเลยให้การว่าการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้วเพราะการที่โจทก์ขายที่ดิน 5 โฉนด ที่เขตราษฎร์บูรณะซึ่งโจทก์ซื้อมาเมื่อปี 2514 และขายอาคารซึ่งปลูกสร้างในที่ดินริมถนนลาดพร้าวเป็นทางการค้าหากำไร โจทก์จึงต้องชำระภาษีการค้า และภาษีเงินได้ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความว่า เดิมเมื่อปี 2507โจทก์ได้ซื้อที่ดินแปลงโฉนดที่ 28173 ตำบลลาดยาว เขตบางเขนกรุงเทพมหานคร จากการขายทอดตลาดของศาล และโจทก์ได้อยู่อาศัยในที่ดินแปลงดังกล่าวตลอดมา ต่อมาในปี 2514 โจทก์ซื้อที่ดิน แขวงราษฎร์บูรณะ เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร ไว้อีก 1 แปลง รวม5 โฉนด คือโฉนดที่ 122, 1841, 4471, 4472 และ 4473 ต่อมาปี 2519 โจทก์ได้ขายที่ดินแปลงราษฎร์บูรณะทั้งหมด ส่วนที่ดินโฉนดที่ 28173 โจทก์ได้จัดการแบ่งแยกออกมาบางส่วนแล้วปลูกอาคารบนที่ดินรวม 7 คูหา โจทก์ทำสัญญาขายให้บุตรชาย 2 คูหา แต่โจทก์อ้างว่าเป็นการยกให้ แบ่งขายให้นายวาดนางอนงค์ สังข์เจริญน้องภริยาโจทก์ 1 คูหา และแบ่งขายให้นางย่งฮวย แซ่เต็ง4 คูหา คงมีปัญหาที่โต้เถียงกันในชั้นฎีกาเพียงว่า การขายอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวเป็นทางค้าหรือหากำไรใช่หรือไม่ ในส่วนที่เกี่ยวกับการขายที่ดินแปลงราษฎรบูร์ณะเมื่อปี 2519 ที่โจทก์ต้องเสียภาษีการค้าในปีดังกล่าวโจทก์ฎีกาว่า โจทก์มิได้มุ่งเป็นทางค้าหรือหากำไร แต่เป็นการขายสมบัติอย่างบุคคลธรรมดาเมื่อต้องการใช้เงิน ได้ความจากตัวโจทก์เองว่าโจทก์ตั้งใจจะซื้อที่ดินแปลงนี้ไว้ใช้สำหรับอยู่อาศัย แต่ต่อมาในระยะหลังเห็นว่าการไปมาสถานที่ทำงานไม่สะดวกและไม่ปลอดภัย เพราะเป็นที่ที่มีโจรผู้ร้ายชุกชุมและได้ความต่อไปว่าที่ดินแปลงนี้ โจทก์ซื้อมาตั้งแต่ปี 2514 ในราคา100,000 บาท เป็นที่ดินผืนเดียวกันรวม 5 โฉนด และโจทก์ก็ได้ขายไปทั้งแปลงในปี 2519 เหตุที่โจทก์ซื้อที่ดินโจทก์อ้างว่าตั้งใจจะใช้เป็นที่อยู่อาศัยนั้น ก็ได้ความจากตัวโจทก์เองว่าที่ดินที่โจทก์ใช้อยู่อาศัยในขณะนั้น คือที่ดินโฉนดที่ 28173 ซึ่งเป็นที่ดินที่อยู่เขตบางเขนและมีเนื้อที่ดิน 1 ไร่ 63 ตารางวา ดังนั้นข้ออ้างที่ว่าโจทก์ซื้อที่ดินแปลงราษฎร์บูรณะเพื่อจะใช้เป็นที่อยู่อาศัยอีกจึงขาดเหตุผล แต่เชื่อว่าโจทก์ซื้อที่ดินแปลงราษฎร์บูรณะเพื่อหวังกำไรมากกว่า ดังนั้นเองเมื่อซื้อแล้ว 5 ปี โจทก์จึงขายไปในราคา300,000 บาท โจทก์ได้กำไรถึง 3 เท่าตัวกรณีเช่นนี้โจทก์จะอ้างได้อย่างไรว่าไม่ใช่เป็นทางค้าหรือหากำไร ข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าเหตุที่ขายเพราะไม่ปลอดภัย โจรผู้ร้ายชุกชุมจึงขัดกับราคาที่โจทก์ขายได้ซึ่งสูงกว่าราคาซื้อมามาก หากเป็นดังโจทก์อ้างจริงราคาที่ดินควรจะลดลงหาใช่เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัวไม่ ที่โจทก์อ้างถึงเหตุแห่งการขายจึงไม่น่าเชื่อเช่นกัน กรณีจึงเป็นเรื่องขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร ไม่ใช่การขายสมบัติเก่าเพื่อต้องการใช้เงินดังโจทก์ฎีกาโจทก์จึงเป็นผู้ประกอบการค้า ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 78 และบัญชีอัตราภาษีการค้า ประเภทการค้า 11 ดังนั้นโจทก์จึงต้องเสียภาษีการค้า
โจทก์ฎีกาต่อมาในส่วนที่เกี่ยวกับการขายตึกแถวที่ปลูกขึ้นในที่ดินส่วนที่แบ่งแยกจากโฉนดที่ 28173 เขตบางเขน ซึ่งขายพร้อมที่ดินเมื่อปี 2520 ว่าโจทก์มิได้มุ่งในทางค้าหรือหากำไร ได้ความจากตัวโจทก์เองว่าที่ดินแปลงนี้โจทก์ซื้อมาตั้งแต่ปี 2507 และโจทก์เพิ่งแบ่งที่ดินบางส่วนมาสร้างตึกแถวขึ้นภายหลัง เพื่อประสงค์ขายตึกแถวพร้อมที่ดินโดยแบ่งเป็นคูหา ตึกแถวที่สร้างขึ้นใหม่ภายหลัง จึงไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์ที่โจทก์ใช้อยู่อาศัยอย่างแน่นอนแต่เป็นตึกแถวที่โจทก์สร้างขึ้นมาเพื่อขายหากำไรโดยเฉพาะดังนั้นไม่ว่าโจทก์จะขายให้กับใคร ก็ล้วนเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยมุ่งในทางค้าหรือหากำไรทั้งสิ้น โจทก์จะอ้างความจำเป็นในการขายเพื่อนำเงินมาใช้จ่ายเลี้ยงชีพและครอบครัว ย่อมขาดเหตุผลเพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงโจทก์ก็มีทางทำได้โดยแบ่งขายที่ดินที่โจทก์มีอยู่ถึง 1 ไร่ 63 ตารางวา เกินความจำเป็นต่อการอยู่อาศัยโจทก์ก็ย่อมทำได้ แต่โจทก์กลับไม่กระทำ เมื่อโจทก์ปลูกตึกแถวเพื่อขาย แสดงว่าโจทก์ประสงค์จะหากำไรมากกว่า เงินได้ของโจทก์ในส่วนนี้จึงเป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากรมาตรา 40(8) ดังเหตุผลที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาโดยละเอียดแล้ว
โจทก์ฎีกาประการต่อมาว่า เงินได้จากการขายตึกแถวไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินอันต้องเสียภาษีเงินได้ และไม่เป็นเงินได้จาก “การอื่น” ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(8) ซึ่งหมายถึงรายได้ที่เกิดจากอาชีพแต่กรณีของโจทก์เป็นการขายทรัพย์สมบัติไม่ใช่เป็นการประกอบอาชีพเห็นว่า เงินได้จากการขายตึกแถวซึ่งมุ่งในทางการค้าหรือหากำไรดังเช่นกรณีของโจทก์นี้เป็นเงินได้พึงประเมินตามความหมายของประมวลรัษฎากร มาตรา 40(8) เพราะคำว่า”การอื่น” นอกจากที่ระบุไว้ใน (1) ถึง (7) ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 40(8) นั้น หมายถึงเงินได้จากการอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 40(1) ถึง (7) ก็ถือเป็นเงินได้ตามมาตรา 40(8) โดยกฎหมายหาได้คำนึงถึงว่าจะต้องเป็นเงินได้จากอาชีพดังโจทก์ฎีกาไม่โจทก์จึงต้องเสียภาษีเงินได้ในส่วนนี้สำหรับปี 2520 และ การขายตึกแถวดังกล่าวของโจทก์เป็นการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไรประเภทการค้า 11 การค้าอสังหาริมทรัพย์ ตามบัญชีอัตราภาษีการค้าโจทก์จึงต้องเสียภาษีการค้าตามกฎหมาย กรณีของโจทก์เช่นนี้ โจทก์ไม่อาจจะอ้างได้ว่าไม่เข้าลักษณะที่จะต้องเสียภาษีเงินได้และภาษีการค้าดังโจทก์ฎีกาแต่ประการใด
โจทก์ฎีกาเป็นประการสุดท้ายว่า จำเลยไม่มีอำนาจประเมินเงินได้จากการขายตึกแถวให้สูงกว่าราคาที่โจทก์ขายจริง ปัญหาข้อนี้โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องไว้ จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้นทุกประการ”
พิพากษายืน