คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2165/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินโดยใช้แบบพิมพ์ที่ใช้กันโดยทั่วไป โจทก์ผู้ซื้อเป็นผู้กรอกข้อความในแบบพิมพ์ด้วยหมึกสีดำก่อนจึงให้จำเลยผู้ขายเติมข้อความอื่นในภายหลังด้วยหมึกสีน้ำเงิน สำหรับกำหนดวันโอนและชำระเงินส่วนที่เหลือโจทก์กรอกข้อความเฉพาะเดือนและปีคือเดือนเมษายน 2531 ไว้โดยไม่ปรากฏว่ามีฝ่ายใดเติมวันที่ลงไปในช่องว่าง การที่สัญญาจะซื้อขายไม่ได้ระบุวันที่จะไปจดทะเบียนโอนและจ่ายเงินตามสัญญาส่วนที่เหลือไว้เช่นนี้จึงจะถือว่าวันที่กำหนดตามสัญญาเป็นวันที่ 29 เมษายน 2531 ซึ่งตรงกับวันศุกร์อันเป็นการกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทินตาม ป.พ.พ. มาตรา 204 ไม่ได้ ทั้งยังถือว่าโดยสภาพหรือโดยเจตนาที่คู่สัญญาได้แสดงไว้จะเป็นผลสำเร็จได้ก็แต่ด้วยการชำระหนี้ ณ เวลามีกำหนดตามมาตรา 388 ก็ไม่ได้ เพราะมิได้ระบุชัดแจ้งว่าหากผู้ซื้อผิดนัดไม่นำเงินที่เหลือมาชำระให้แก่ผู้ขายตามกำหนด สัญญาจะซื้อขายเป็นอันเลิกกันทันทีสัญญาจะซื้อขายฉบับพิพาทจึงต้องบังคับตามมาตรา 387 คือจำเลยผู้ขายจะต้องบอกกล่าวให้โจทก์ชำระหนิ้ภายในเวลาสมควรก่อน การที่จำเลยบอกเลิกสัญญาโดยมิได้บอกกล่าวให้โจทก์ชำระเงินก่อนจึงเป็นการไม่ชอบ โจทก์มิใช่ผู้ผิดสัญญาสัญญายังไม่เลิกกัน โจทก์มีสิทธิบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาได้
เดิมที่ดินที่ซื้อขายเป็นแปลงเดียวกัน แต่ต่อมาได้จดทะเบียนแบ่งแยกเป็น 2 โฉนด คือโฉนดเลขที่ 6470 เดิม ฉบับหนึ่ง และเลขที่ 12473 อีกฉบับหนึ่ง แม้สัญญาจะซื้อขายฉบับพิพาทจะระบุเฉพาะโฉนดที่ 6470 แต่ได้ระบุเนื้อที่โดยประมาณว่า 30 ไร่ จำเลยไม่ได้ให้การโต้แย้งว่าที่ดินตามสัญญามีเนื้อที่ไม่ถึง 30 ไร่ ทั้งยังนำสืบว่าที่ดินพิพาทมี 2 แปลง คือตามโฉนดเลขที่ 6470 และ12473 แสดงว่าโจทก์จำเลยมีเจตนาจะซื้อที่ดินกันเนื้อที่ประมาณ 30 ไร่ โดยโจทก์ไปดูที่ดินนั้นแล้ว แต่โจทก์ไม่ทราบว่าที่ดินมีกี่โฉนด จึงเว้นช่องว่างไว้ในสัญญาจะซื้อขายในช่องเลขโฉนดเพื่อให้ฝ่ายจำเลยเป็นผู้กรอก โดยโจทก์กรอกข้อความส่วนที่เป็นเนื้อที่และจำนวนเงินไว้ เมื่อจำเลยลงลายมือชื่อในช่องผู้ขายก็มิได้ทักท้วงเรื่องเนื้อที่ที่ดิน ทั้ง ๆ ที่จำเลยเป็นฝ่ายทราบเรื่องนี้เพราะเป็นผู้เก็บรักษาโฉนด เชื่อว่าจำเลยมีเจตนาตรงกับโจทก์ที่จะทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินประมาณ 30 ไร่ ด้วย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 132 (เดิม) ซึ่งการตีความการแสดงเจตนานั้น ให้เพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนหรือตัวอักษร จำเลยจึงต้องโอนที่ดินทั้งสองโฉนดแก่โจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่โจทก์ทันที พร้อมทั้งรับชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลืออีก 250,000 บาทจากโจทก์ โดยโจทก์จะชำระเงินส่วนที่เหลือทันทีในวันที่จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ยอมไปดำเนินการดังกล่าวขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ดังนี้ ศาลจะพิพากษาให้โจทก์วางเงินค่าที่ดิน 250,000 บาท ต่อศาลเพื่อชำระหนี้แก่จำเลยภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีคำพิพากษาถึงที่สุด มิฉะนั้นโจทก์หมดสิทธิซื้อที่ดินพิพาทหาได้ไม่เพราะเป็นการพิพากษาเกินคำขอ ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142

Share