คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2164/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลฎีกาพิพากษาให้รับบัญชีพยานเพิ่มเติมของจำเลย ซึ่งระบุพระสมุห์ค. เป็นพยาน ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานจำเลยปากนี้เสร็จแล้วให้มีคำพิพากษาใหม่ แม้คำพิพากษาของศาลฎีกาดังกล่าวให้ศาลชั้นต้นสืบพยานปากนี้เสร็จแล้ว ให้พิพากษาคดีได้ทันทีก็ตาม แต่ตามคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยาน เพิ่มเติมในระหว่างศาลชั้นต้นนัดสืบพยานตามคำพิพากษาศาลฎีกา จำเลยได้ระบุว่าพระสมุห์ค. ได้เบิกความเป็นพยานในคดีอาญาอีกเรื่องหนึ่งที่จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลย ข้อหาปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมเกี่ยวกับสัญญากู้ยืมในคดีนี้ และในการคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับบัญชีระบุพยาน เพิ่มเติม จำเลยได้แนบสำเนาคำเบิกความของพระสมุห์ค. มีใจความพอสรุปได้ว่า โจทก์ในคดีนี้ได้นำสัญญากู้และ สัญญาค้ำประกันในคดีนี้ไปให้พระสมุห์ค. กรอกข้อความโดยจำเลยในคดีนี้มิได้รู้เห็นเหตุการณ์ ซึ่งหากพระสมุห์ค. ไม่มรณะภาพและมาเบิกความในคดีนี้ตรงกับคำเบิกความ ในคดีอาญาดังกล่าว ผลของคดีก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไป แต่เมื่อพระสมุห์ค. ถึงแก่มรณะภาพไปแล้ว การที่จำเลยขอระบุพยานเพิ่มเติมอ้างสำนวนคดีอาญาดังกล่าว และสรรพเอกสารรวมทั้งคำเบิกความของพระสมุห์ค. เป็นพยานในคดีนี้พยานหลักฐานที่จำเลยอ้างเพิ่มเติมจึงเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จำเป็นต้องสืบพยานดังกล่าว ศาลย่อมมีอำนาจอนุญาตได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 87(2) จึงชอบที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับบัญชีพยานเพิ่มเติม จำเลยและสืบพยานจำเลยดังกล่าวต่อไปตามรูปคดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระต้นเงินกับดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 94,870 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน55,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า สัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นสัญญาปลอมขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา หลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว จำเลยยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมหลังจากที่โจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อนสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว จึงต้องห้ามมิให้จำเลยระบุพยานเพิ่มเติม จึงให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งและคำพิพากษา
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งยกคำร้องขอยื่นบัญชีพยานเพิ่มเติมของจำเลย และยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นกับศาลอุทธรณ์ภาค 1ให้รับบัญชีพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 2 ของจำเลย ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานจำเลยและมีคำพิพากษาใหม่
ระหว่างดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานจำเลยใหม่พยานจำเลยตามที่ระบุไว้ในบัญชีพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 2ของจำเลยถึงแก่ความตาย จำเลยจึงยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมใหม่ตามบัญชีพยานลงวันที่ 22 มกราคม 2539 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าตามคำพิพากษาของศาลฎีกาให้ศาลชั้นต้นรับบัญชีพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 2 ของจำเลย ฉบับลงวันที่ 9 มีนาคม 2535 และเมื่อสืบพยานปากนี้เสร็จแล้วให้มีคำพิพากษาใหม่เท่านั้น หากศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับบัญชีพยานเพิ่มเติมที่ยื่นเพิ่มเติมเข้ามาใหม่อีกจะเป็นการไม่ชอบตามคำพิพากษาศาลฎีกา และอาจทำให้โจทก์เสียเปรียบได้จึงให้ยกคำร้อง และถือว่าจำเลยหมดพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 55,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่1 ธันวาคม 2529 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยเคยยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมลงวันที่ 9 มีนาคม 2535 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานดังกล่าว จำเลยอุทธรณ์และฎีกาศาลฎีกามีคำสั่งให้รับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของจำเลยลงวันที่9 มีนาคม 2535 แล้วให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลย และพิจารณาพิพากษาใหม่ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1341/2538 ในการพิจารณาใหม่ของศาลชั้นต้นปรากฏว่าพยานจำเลยตามที่ได้ระบุไว้ในบัญชีพยานลงวันที่ 9 มีนาคม 2535 ถึงแก่ความตาย จำเลยจึงยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมใหม่ลงวันที่ 22 มกราคม 2539 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานดังกล่าวของจำเลย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษายืน
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของจำเลยลงวันที่ 22 มกราคม 2539 ถูกต้องหรือไม่ ตามคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 1341/2538 ระบุว่า “ให้รับบัญชีพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 2 ของจำเลยลงวันที่ 9 มีนาคม 2535 ซึ่งระบุ พระสมุห์คงศักดิ์ เขมชาโตเทโว หรือนายคงศักดิ์ ทุมแสน เป็นพยาน ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานจำเลยปากนี้ เสร็จแล้วให้มีคำพิพากษาใหม่” แม้คำพิพากษาของศาลฎีกาดังกล่าวว่าให้ศาลชั้นต้นสืบพยานเฉพาะพระสมุห์ คงศักดิ์ เขมชาโตเทโว หรือนายคงศักดิ์ ทุมแสน เพียงปากเดียว เมื่อสืบพยานปากนี้เสร็จแล้วให้พิพากษาคดีได้ทันทีตามบัญชีระบุพยานลงวันที่ 22 มกราคม 2539 จำเลยระบุพยานเพิ่มเติม 4 อันดับ ซึ่งมิได้ระบุไว้ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1341/2538 ก็ตามแต่ตามคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมลงวันที่ 22 มกราคม 2539จำเลยได้ระบุว่า พระสมุห์ คงศักดิ์มรณะภาพ ก่อนมรณะภาพได้เบิกความเป็นพยานในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2069/2535 ของศาลชั้นต้นที่จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลย ข้อหาปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมเกี่ยวกับสัญญากู้ยืมในคดีนี้ และในการคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับบัญชีระบุพยานเมื่อวันที่26 มกราคม 2539 จำเลยได้แนบสำเนาคำเบิกความของพระภิกษุคงศักดิ์ ทุมแสน มีใจความพอสรุปได้ว่า โจทก์ในคดีนี้ได้นำสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันในคดีนี้คือเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 ไปให้พระภิกษุคงศักดิ์กรอกข้อความ โดยจำเลยในคดีนี้มิได้รู้เห็นเหตุการณ์ ซึ่งหากพระสมุห์ คงศักดิ์ไม่มรณะภาพและมาเบิกความในคดีนี้ตรงกับคำเบิกความในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2069/2535ของศาลชั้นต้น ผลของคดีก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไป แต่เมื่อพระภิกษุคงศักดิ์ถึงแก่มรณะภาพไปแล้ว การที่จำเลยขอระบุพยานเพิ่มเติมอ้างสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2069/2535 ของศาลชั้นต้นและสรรพเอกสารรวมทั้งคำเบิกความของพระภิกษุคงศักดิ์ดังกล่าวเป็นพยานในคดีนี้ พยานหลักฐานที่จำเลยอ้างเพิ่มเติมจึงเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จำเป็นต้องสืบพยานดังกล่าว ศาลก็มีอำนาจอนุญาตได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2)
พิพากษากลับ ให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งยกคำร้องขอยื่นบัญชีพยานเพิ่มเติมของจำเลยและยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นกับศาลอุทธรณ์ภาค 1ให้รับบัญชีพยานเพิ่มเติมจำเลยลงวันที่ 22 มกราคม 2539ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยดังกล่าวแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share