คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2155/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สิ่งของในโรงงานของจำเลยขาดบัญชีและไม่ถูกต้อง จำเลยจึงมีคำสั่งตั่งคณะกรรมการขึ้นทำการสอบสวนและพิจารณา เมื่อขณะออกคำสั่งจำเลยยังไม่ทราบชื่อและตำแหน่งของผู้ถูกกล่าวหา จึงไม่จำต้องระบุไว้ในคำสั่งนั้น
การสอบสวนของคณะกรรมการที่จำเลยแต่งตั้ง ปรากฏว่าโจทก์มีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งของที่ขาดบัญชีโดยเป็นประธานกรรมการตรวจรับสิงของบางส่วน แต่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้นและโจทก์มีอายุใกล้กำหนดจะออกจากงานฐานเกษียณอายุ ดังนี้จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากงานไว้ก่อนเพื่อรอฟังผลการสอบสวนพิจารณาได้ เพราะข้อบังคับของจำเลยกำหนดไว้ ในกรณีเช่นนี้เป็นการสั่งให้ออกไว้ชั่วคราวโดยมีเงื่อนไขว่าจำเลยจะต้องมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงอีกครั้งหนึ่งตามผลการสอบสวนพิจารณา จึงหาทำให้นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยระงับสิ้นไปทันทีไม่ แม้เมื่อสอบสวนเสร็จและโจทก์เกษียณอายุไปแล้ว แต่หากการสอบสวนพิจารณาปรากฏว่าโจทก์ไม่มีความผิด จำเลยก็สามารถเปลี่ยนแปลงคำสั่งเป็นให้ออกจากงานฐานเกษียณอายุได้ มิใช่เป็นการพ้นวิสัยที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่ง ทั้งมิใช่ให้โจทก์ทำงานต่อไปหลังจากที่ขาดคุณสมบัติ แล้วจึงไม่เป็นการขัดต่อกฎหมายว่าด้วยคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจการที่จำเลยให้โจทก์ออกจากงานไว้ก่อนเช่นนี้ไม่เป็นการเลิกจ้าง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างประจำ โดยอ้างว่าให้โจทก์ออกจากงานไว้ก่อนเพื่อรอฟังผลการสอบสวนพิจารณากรณีพัสดุของโรงตกแต่งรถโดยสารขาดบัญชี และไม่ถูกต้อง แต่จนบัดนี้จำเลยยังไม่ตั้งคณะกรรมการสอบสวนโจทก์ และโจทก์ก็ไม่ได้กระทำผิดเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยและเงินสงเคราะห์ครั้งเดียว ต้องจ่ายเงินสะสมคืนให้โจทก์ และต้องชดใช้ค่าเสียหายเนื่องจากเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยจ่ายเงินดังกล่าวให้โจทก์
จำเลยให้การว่า เมื่อเดือนมกราคม ๒๕๒๖ พนักงานตรวจบัญชีได้ตรวจบัญชีพัสดุของโรงตกแต่งรถโดยสารแผนกซ่อมรถโดยสารพบว่ามีสิ่งของพัสดุขาดบัญชีและไม่ถูกต้องจำนวนมาก จำเลยจึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นทำการสอบสวน จากการสอบสวนปรากฏว่ามีพัสดุขาดบัญชีเป็นจำนวนเงินกว่า ๒๐ ล้านบาทซึ่งเกิดจากการทุจริตในการตรวจรับมอบสิ่งของที่จำเลยได้จัดซื้อโดยมีโจทก์เป็นประธานกรรมการตรวจรับสิ่งของดังกล่าว ในขณะที่การสอบสวนพิจารณายังไม่เสร็จสิ้นโจทก์มีอายุใกล้ที่จะต้องออกจากงานฐานเกษียณอายุ จำเลยจึงมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากงานไว้ก่อน เพื่อรอฟังผลการสอบสวนพิจารณาเป็นไปตามข้อบังคับของจำเลยเป็นการให้ออกจากงานไว้เป็นการชั่วคราว ถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้าง โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามฟ้องเงินสะสมที่จำเลยหักจากค่าจ้างโจทก์จะจ่ายให้เมื่อโจทก์ต้องออกจากงานและไม่มีหนี้สินเกี่ยวค้างกับจำเลย จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินสะสมคืนในขณะนี้สำหรับสิทธิในการรับเงินสงเคราะห์ครั้งเดียวจะมีสิทธิได้รับต่อเมื่อออกจากงานแล้วและจะต้องไม่เป็นผู้ที่ถูกไล่ออก ปลดออกจากงานเพราะมีความผิด คำสั่งให้โจทก์ออกจากงานไว้ก่อนไม่เป็นการเลิกจ้างจึงไม่ใช่เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
ศาลแรงงานกลาง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ฟังข้อเท็จจริงว่า การตรวจบัญชีพัสดุโรงตกแต่งรถโดยสาร แผนกซ่อมรถโดยสาร ซึ่งโจทก์เป็นผู้ควบคุมรับผิดชอบ ปรากฏว่าสิ่งของขาดบัญชีและไม่ถูกต้องเป็นจำนวนมาก จำเลยจึงมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการขึ้นทำการสอบสวน ปรากฏว่าโจทก์มีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งของที่ขาดบัญชีโดยเป็นประธานกรรมการตรวจรับสิ่งของบางส่วน แต่เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น โจทก์มีอายุใกล้ถึงกำหนดจะออกจากงานฐานเกษียณอายุตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๗ จำเลยจึงให้โจทก์ออกจากงานไว้ก่อนเพื่อรอฟังผลการสอบสวนพิจารณา ตั้งแต่วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๒๗ เป็นต้นไป และวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์อุทธรณ์เป็นประการแรกว่า คำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามเอกสารหมาย ล.๑ ไม่ได้ระบุชื่อและตำแหน่งของผู้ถูกกล่าวหาไว้ เป็นการไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง เอกสารหมาย จ.๖ จึงไม่ชอบ พิเคราะห์แล้ว คำสั่งตามเอกสารหมาย จ.๖ ข้อ ๑.๒ กำหนดว่า ‘คำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนให้ทำเป็นหนังสือตามแบบคำสั่ง โดยระบุชื่อและตำแหน่งของผู้ถูกกล่าวหาในกรณีที่ทราบชื่อและตำแหน่งของผู้ถูกกล่าวหาและเรื่องที่ถูกกล่าวหา ตลอดจนชื่อหรือตำแหน่งของผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการ’ คำสั่งตามเอกสารหมาย ล.๑ มีความว่า เนื่องจากพนักงานตรวจบัญชีได้ตรวจบัญชีที่พัสดุโรงตกแต่งรถโดยสารแผนกซ่อมรถโดยสาร กองซ่อมรถพ่วง พบว่ามีสิ่งของขาดบัญชี และไม่ถูกต้องอยู่มาก เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงโดยแน่ชัดและลงโทษผู้กระทำผิดได้ตามควรแก่กรณี ฝ่ายการช่างกลจึงเสนอให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นทำการสอบสวน ซึ่งจำเลยพิจารณาแล้วเห็นชอบด้วยจึงแต่งตั้งให้ผู้มีตำแหน่งตามที่ระบุในคำสั่งนี้มีจำนวน ๓ นาย เป็นกรรมการทำการสอบสวนและพิจารณา เสร็จแล้วให้รายงานผลการสอบสวนให้จำเลยทราบโดยเร็วดังนี้เห็นว่า ขณะออกคำสั่งเอกสารหมาย ล.๑ จำเลยยังไม่ทราบชื่อและตำแหน่งของผู้ถูกกล่าวหา จึงไม่จำต้องระบุ คำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนของจำเลยชอบแล้ว
โจทก์อุทธรณ์ต่อไปว่า คำสั่งให้โจทก์ออกจากงานไว้ก่อนย่อมทำให้นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยตามสัญญาจ้างแรงงานระงับสิ้นไป โอกาสที่โจทก์จะกลับเข้าทำงานกับจำเลยตามเดิมไม่มีเพราะจำเลยมีอายุครบ ๖๐ ปีบริบูรณ์ ทั้งการที่จำเลยออกคำสั่งเช่นนี้ยังขัดต่อพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจพิเคราะห์แล้ว ข้อบังคับฉบับที่ ๓ ว่าด้วยระเบียบวินัยและการลงโทษพนักงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย ตามเอกสารหมาย จ.๒ ข้อ ๖ ทวิ วรรคหนึ่ง กำหนดความว่า พนักงานผู้ใดมีกรณีต้องหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกสอบสวน ถ้าผู้นั้นมีอายุใกล้ถึงกำหนดที่จะต้องออกจากงานเพราะเหตุอายุครบ ๖๐ ปีบริบูรณ์ ก็ให้ผู้บังคับบัญชามีอำนาจสั่งให้ผู้นั้นออกจากงานไว้ก่อน วรรคสองความว่า ถ้าภายหลังการสอบสวนพิจารณาได้ความเป็นสัตย์ที่จะต้องลงโทษไล่ออก ปลดออก หรือให้ออก หรือเป็นกรณีที่จะต้องให้ออกจากงานด้วยเหตุอื่น ก็ให้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงคำสั่งเป็นไล่ออก ปลดออก หรือให้ออก ให้ตรงตามข้อบังคับ ถ้าปรากฏว่าผู้ถูกสั่งให้ออกจากงานไว้ก่อนมิได้มีความผิดเลย หรือมีความผิดไม่ถึงกับจะต้องถูกลงโทษไล่ออก ปลดออก หรือให้ออก และไม่มีกรณีที่จะต้องออกจากงานด้วยเหตุอื่น ให้ผู้บังคับบัญชาสั่งให้ผู้นั้นกลับเข้าทำงานตามเดิม วรรคสามตามเดิม วรรคสามความว่า ในกรณีที่ผู้ถูกสั่งให้ออกจากงานไว้ก่อนมิได้มีความผิด หรือมีความผิดไม่ถึงกับจะต้องถูกลงโทษไล่ออก ปลดออก หรือให้ออก เท่าที่เกี่ยวกับเงินเดือน ให้ผู้นั้นมีสิทธิได้รับเงินเดือนในระหว่างถูกสั่งให้ออกจากงานไว้ก่อนนั้นเสมือนว่าผู้นั้นถูกสั่งให้พักงาน แต่ถ้าผู้นั้นมีอายุครบ ๖๐ ปีบริบูรณ์ และมิได้รับการต่ออายุก็ให้มีสิทธิรับเงินเดือนเพียงถึงสิ้นปีงบประมาณนั้นเห็นได้ว่า การสั่งให้ออกจากงานไว้ก่อนตามข้อบังคับของจำเลยเป็นเพียงการสั่งให้ออกไว้ชั่วคราว โดยมีเงื่อนไขว่าจำเลยจะต้องมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงอีกครั้งหนึ่งตามผลการสอบสวนพิจารณา หาทำให้นิติสัมพันธ์ระงับสิ้นไปทันทีไม่ แม้เมื่อสอบสวนเสร็จโจทก์เกษียณอายุไปแล้ว แต่หากการสอบสวนพิจารณาปรากฏว่าโจทก์ไม่มีความผิด จำเลยก็สามารถเปลี่ยนแปลงคำสั่งเป็นให้โจทก์ออกจากงานฐานเกษียณอายุตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๗ ได้ มิใช่เป็นการพ้นวิสัยที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่ง ทั้งมิใช่ให้โจทก์ทำงานต่อไป หลังจากที่ขาดคุณสมบัติแล้ว จึงไม่เป็นการขัดต่อกฎหมายว่าด้วยคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจแต่อย่างใด ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าการที่จำเลยให้โจทก์ออกจากงานไว้ก่อนไม่เป็นการเลิกจ้าง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์โจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share