คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2152/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

แม้ไม่มีบทบัญญัติกฎหมายใดที่กำหนดให้ใช้หลักเกณฑ์การคำนวณเงินได้ของโจทก์สำหรับปี พ.ศ. 2528 โดยอาศัยเงินได้สำหรับปีพ.ศ. 2530 เป็นฐาน แต่เมื่อโจทก์ไม่มีบัญชีหรือพยานหลักฐานใด ๆ ให้จำเลยตรวจสอบได้ และในที่สุดโจทก์ก็ยอมรับสภาพหนี้ตามที่พนักงานตรวจสอบของจำเลยแจ้งยอดหนี้ภาษีอากรให้ทราบ การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินตลอดจนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ซึ่งสืบเนื่องต่อมาจากการรับสภาพหนี้ของโจทก์ดังกล่าว ย่อมชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงต้องชำระหนี้ภาษีอากรดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีพ.ศ. 2528 ให้โจทก์เสียภาษีเงินได้พร้อมเบี้ยปรับเงินเพิ่มเป็นเงินทั้งสิ้น 99,727.10 บาท โจทก์อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แล้ว แต่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้ยกคำอุทธรณ์ของโจทก์ โดยให้เหตุผลว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินที่ทำการประเมิน โดยอาศัยถ้อยคำของผู้อุทธรณ์และหลักฐานการขายของปีภาษี พ.ศ. 2530 เป็นหลักเพื่อหารายรับที่แท้จริงของปีภาษีพ.ศ. 2528 เป็นการปฏิบัติชอบแล้ว โจทก์ก็ไม่เห็นด้วย เนื่องจากการประเมินดังกล่าวเป็นการประเมินโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 20แห่งประมวลรัษฎากร แต่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานประเมินมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร คือ มิได้ออกหมายเรียกตัวโจทก์มาไต่สวนและให้โจทก์นำบัญชีหรือพยานหลักฐานมาแสดง และจำเลยกำหนดเงินได้พึงประเมินของโจทก์โดยการคาดคะเน มิได้มีหลักเกณฑ์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ดังกล่าวจึงไม่ชอบ ขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ จำเลยให้การว่าเจ้าพนักงานประเมินได้ทำการประเมินภาษีอากรโดยอาศัยข้อมูลและคำรับของโจทก์ที่ได้จากการตรวจสอบไต่สวนมาคำนวณภาษี และแจ้งให้โจทก์ทราบแล้ว โจทก์ยินยอมให้เจ้าพนักงานประเมินภาษีเพิ่มเติม และยอมชำระภาษีจนครบถ้วนตามที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยแจ้งโดยไม่มีข้อโต้แย้ง ดังนั้นการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยมีเพียงว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบหรือไม่ ในปัญหาดังกล่าว จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยใช้เงินได้พึงประเมินของปีภาษี พ.ศ. 2530 เป็นฐานในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี พ.ศ. 2528 ของโจทก์ เพราะโจทก์ไม่ได้จัดทำบัญชีไว้เป็นหลักฐานสำหรับปี พ.ศ. 2528 กับจำเลยได้พิจารณาประกอบกับคำรับของโจทก์ตามเอกสารหมาย ล.18 ส่วนฝ่ายโจทก์โต้แย้งว่า จำเลยจะอาศัยหลักเกณฑ์การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเช่นนั้นไม่ได้ เพราะไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายให้ใช้หลักเกณฑ์ดังกล่าวได้ การประเมินของเจ้าพนักงานจะต้องใช้เงินได้พึงประเมินที่โจทก์ได้รับในปีพ.ศ. 2528 เป็นฐานจึงจะถูกต้องข้อเท็จจริงฟังได้ยุติตามคำวินิจฉัยของศาลภาษีอากรกลาง โดยโจทก์มิได้อุทธรณ์ว่าเจ้าพนักงานของจำเลยได้ออกหมายเรียกตัวโจทก์และให้โจทก์ส่งบัญชีหรือพยานหลักฐานในการไต่สวนการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี พ.ศ. 2528 ของโจทก์โดยชอบแล้ว และข้อเท็จจริงได้ความต่อไปว่า โจทก์มิได้ส่งบัญชีหรือพยานหลักฐานใด ๆ ให้แก่จำเลย แต่ตัวโจทก์ได้ไปให้การไว้ต่อนางสาลี่ บุรีรักษ์ เจ้าพนักงานตรวจสอบของจำเลยปรากฏตามเอกสารหมาย ล.18 ที่โจทก์แก้อุทธรณ์ว่า มีการตกเติมข้อความในเอกสารหมาย ล.18 ที่ว่า “ข้าฯ ยอมรับว่าข้าฯ มีรายได้โดยเฉลี่ยเท่านั้นจริง” นั้น ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้เบิกความไว้เช่นนั้นและนางสาลี่ก็เบิกความยืนยันว่าโจทก์ก็ให้การไว้ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.18 ถูกต้อง ดังนั้น จึงฟังได้ว่าโจทก์ได้ให้การไว้เป็นข้อความตามที่ปรากฏในเอกสารหมาย ล.18 ดังกล่าว จริงอยู่ ไม่มีบทบัญญัติกฎหมายใดที่กำหนดให้ใช้หลักเกณฑ์การคำนวณเงินได้ของโจทก์สำหรับปี พ.ศ. 2528 โดยอาศัยเงินได้สำหรับปี พ.ศ. 2530เป็นฐาน แต่เมื่อพิจารณาเอกสารหมาย ล.18 โดยละเอียดแล้ว การที่โจทก์ให้การชี้แจงยอมรับว่าโจทก์ได้ยื่นเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปี พ.ศ. 2528 โดยแสดงเงินได้ต่ำกว่าความเป็นจริง โจทก์ยินยอมให้เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินภาษีเพิ่มเติม และจะชำระภาษีให้ครบต่อไปตามจำนวนหนี้ภาษีอากรจำนวน 128,139.37 บาท ที่นางสาลี่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบ และบันทึกไว้ในเอกสารดังกล่าว โดยจำเลยไม่มีข้อโต้แย้งหรือมีปัญหาในข้อกฎหมายอย่างใดนั้น ย่อมถือได้ว่าเป็นการรับสภาพหนี้ที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว และการที่เจ้าพนักงานประเมินพิจารณาลดเบี้ยปรับลง คงเรียกเก็บเพียงร้อยละ 50 ของเบี้ยปรับตามกฎหมาย เป็นเหตุให้หนี้ภาษีอากรลดลงเหลือจำนวน99,727.10 บาท นั้น ก็นับว่าเป็นคุณแก่โจทก์อยู่แล้ว ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อโจทก์ไม่มีบัญชีหรือพยานหลักฐานใด ๆ ให้จำเลยตรวจสอบได้ และในที่สุดโจทก์ก็ยอมรับสภาพหนี้ตามที่พนักงานตรวจสอบแจ้งยอดหนี้ภาษีอากรให้โจทก์ทราบนั้น โจทก์ก็จำต้องชำระหนี้ภาษีอากรดังกล่าวและการประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน ตลอดจนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ก็สืบเนื่องต่อมาจากการรับสภาพหนี้ของโจทก์ดังกล่าวนั่นเอง จึงถือได้ว่าเป็นการชอบแล้ว”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share