คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 215/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของสายลับโทรถึงจำเลยที่ 2 ให้นำ 3,4-เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน 4 เม็ด มาส่งให้จำเลยที่ 1 เพื่อจำหน่ายแก่สายลับ จากนั้นจำเลยที่ 1 ได้ส่งมอบ 3,4-เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวให้สายลับและรับเงินจากสายลับก็เพื่อหักเอากำไรไว้ก่อน ก่อนที่จะชำระแก่จำเลยที่ 2 การที่จำเลยที่ 2 มี 3,4-เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน 8 เม็ด และส่งให้จำเลยที่ 1 เพื่อจำหน่ายแก่สายลับ 4 เม็ด แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองเคยมีพฤติการณ์ร่วมกันจำหน่าย 3,4-เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนมาก่อน จึงยังไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 2 ครอบครอง 3,4-เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน 8 เม็ด เพื่อจำหน่ายอีกฐานหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 67, 100/1, 102 พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 4, 6, 62, 106 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91 ริบ 3,4-เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนและโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพฐานมีคีตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ให้การปฏิเสธฐานร่วมกันมี 3,4-เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย
จำเลยที่ 2 ให้การว่า มี 3,4-เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน 4 เม็ด ที่ได้จากการตรวจค้นไว้ในครอบครองจริง แต่มิได้มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและไม่ได้ร่วมกันมี 3,4-เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนอีก 4 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง วรรคสาม (2), 66 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และจำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 62 วรรคหนึ่ง, 106 วรรคหนึ่ง อีกบทหนึ่ง (ที่ถูก อีกกระทงหนึ่ง) การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 (3,4-เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 6 ปี และปรับคนละ 420,000 บาท กระทงหนึ่ง ฐานร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 (3,4-เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน) จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 5 ปี และปรับคนละ 420,000 บาท อีกกระทงหนึ่ง และลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 (คีตามีน) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี อีกกระทงหนึ่ง รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 12 ปี และปรับ 840,000 บาท และจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 11 ปี และปรับ 840,000 บาท จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เป็นจำคุก 6 เดือน ส่วนความผิดฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม เป็นจำคุก 7 ปี 4 เดือน และปรับ 560,000 บาท รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 7 ปี 10 เดือน และปรับ 560,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามทุกกระทงความผิด คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 7 ปี 4 เดือน และปรับ 560,000 บาท หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 แต่ให้กักขังมีกำหนด 1 ปี ริบ 3,4-เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนและโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ 2 ขอถอนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์อนุญาต และจำหน่ายคดีจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานร่วมกันมี 3,4-เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย โทษและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานร่วมกันมี 3,4-เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน 8 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ ได้ความจากพยานโจทก์ปากร้อยตำรวจเอกฤทธีและสิบตำรวจเอกสมบัติ เจ้าพนักงานตำรวจฝ่ายสืบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางรักว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 2 นาฬิกา ขณะที่พยานทั้งสองอยู่ที่ห้องสืบสวนมีสายลับมาพบและแจ้งว่าสามารถติดต่อซื้อยาอีจำนวน 4 เม็ด ราคาเม็ดละ 700 บาท จากชายมีชื่อเล่นว่าโจ ภายหลังทราบชื่อว่านายจรัญหรือโจ จำเลยที่ 1 โดยนัดส่งมอบกันที่หน้าร้านแมคโดนัลล์บริเวณปากซอยพัฒน์พงษ์ 1 ถนนสุรวงศ์ แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร ร้อยตำรวจเอกฤทธีรายงานผู้บังคับบัญชาทราบและขออนุมัติเงินล่อซื้อโดยใช้ธนบัตรฉบับละ 500 บาท รวม 6 ฉบับ พยานได้เขียนอักษร B ไว้ที่มุมล่างขวาทั้ง 6 ฉบับ แล้วนำไปลงบันทึกรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีไว้และถ่ายสำเนาไว้ทุกฉบับ ต่อมาเวลา 03.15 นาฬิกา พยานทั้งสองกับพวกและสายลับไปกระจายกำลังกันบริเวณหน้าร้านแมคโดนัลล์ปากซอยพัฒน์พงษ์ 1 พยานทั้งสองซุ่มรอดูเหตุการณ์ที่ทางเข้าโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียนด้านข้างร้านแมคโดนัลล์ห่างประมาณ 10 เมตร ส่วนสายลับไปยืนรออยู่หน้าร้านแมคโดนัลล์ ต่อมาเห็นจำเลยที่ 1 เดินมาพูดคุยกับสายลับแล้วจำเลยที่ 1 ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของสายลับโทรหาผู้อื่นซึ่งขณะนั้นพยานยังไม่ทราบว่าเป็นใคร ต่อมามีชายคนหนึ่งภายหลังทราบชื่อว่านายเกรียงศักดิ์หรือบี จำเลยที่ 2 เดินมาจากซอยพัฒน์พงษ์ 1 พูดคุยกับจำเลยที่ 1 แล้วยื่นสิ่งของให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ยื่นสิ่งของดังกล่าวให้แก่สายลับ จากนั้นสายลับยื่นธนบัตรให้จำเลยที่ 1 ขณะนั้นจำเลยทั้งสองแสดงท่าทางไหวตัวจะหลบหนี พยานทั้งสองกับพวกจึงเข้าควบคุมจำเลยทั้งสองไว้ได้ สายลับมอบยาอี 4 เม็ด ที่ซื้อจากจำเลยที่ 1 และบอกว่าจำเลยที่ 1 ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่โทรไปที่หมายเลข 0 7111 6614 ก่อนแยกตัวไป พยานโจทก์ปากสิบตำรวจเอกสมบัติตรวจค้นตัวจำเลยทั้งสอง พบยาเคเป็นผงสีขาว 1 ห่อ จากกระเป๋ากางเกงด้านซ้ายและธนบัตรฉบับละ 500 บาท 6 ฉบับ อยู่ในมือข้างขวาของจำเลยที่ 1 ตรวจสอบแล้วเป็นธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อและพบยาอีชนิดเม็ดสีเหลือง 2 เม็ด จากกระเป๋ากางเกงด้านซ้ายและโทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อโนเกีย หมายเลข 0 7111 6614 จากกระเป๋ากางเกงด้านซ้ายของจำเลยที่ 2 เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของสายลับโทรออกขณะเกิดเหตุน่าจะเป็นการโทรศัพท์ถึงจำเลยที่ 2 ให้นำ 3,4-เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนมาส่งให้จำเลยที่ 1 เพื่อจำหน่ายให้แก่สายลับที่ล่อซื้อ โจทก์ไม่นำสืบให้เห็นว่าก่อนหน้านี้จำเลยทั้งสองเคยมีพฤติการณ์ร่วมกันจำหน่าย 3,4-เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนหรือไม่อย่างไร ทั้งหากจำเลยทั้งสองเป็นตัวการร่วมกันมี 3,4-เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจริง เมื่อจำเลยที่ 2 มาถึงที่เกิดเหตุก็น่าจะส่งมอบ 3,4-เมทิลลีนไดออกซีเมท-แอมเฟตามีนให้แก่สายลับผู้ซื้อทันที หาจำต้องส่งผ่านมือจำเลยที่ 1 อีกไม่ พฤติการณ์น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 สั่งซื้อ 3,4-เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 2 แล้วขายต่อให้สายลับหรือลูกค้าเพื่อเอากำไร จากพฤติการณ์จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับเงินจากสายลับเองก็เพื่อหักเอากำไรก่อนที่จะชำระแก่จำเลยที่ 2 จึงเห็นว่าพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 โทรศัพท์สั่งให้จำเลยที่ 2 นำ 3,4-เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน 4 เม็ด มามอบให้จำเลยที่ 1 แล้วส่งมอบให้สายลับและรับเงินจากสายลับเพียงเท่านั้นยังไม่พอฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 2 ครอบครอง 3,4-เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 8 เม็ด เพื่อจำหน่ายอีกฐานหนึ่งดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share