แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การฟ้องคดีเรื่องเลิกจ้างไม่เป็นธรรม เป็นการฟ้องตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานมาตรา 49 ซึ่งเป็นกฎหมายสารบัญญัติส่วนหนึ่งที่เกี่ยวด้วยการคุ้มครองแรงงาน หาใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาไม่ศาลแรงงานกลางไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา จำเลยจ่ายค่าจ้างเดือนละสองครั้ง กลางเดือนกับสิ้นเดือนโจทก์ถูกเลิกจ้างเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2525 วันที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องค่าจ้างได้ย่อมเริ่มนับแต่วันที่ 31 ตุลาคม2525 เป็นต้นไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 169สิทธิเรียกร้องค่าจ้างเช่นว่านี้เกิดแต่สัญญาจ้างแรงงานและเกิดแต่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีกำหนดอายุความสองปีตามมาตรา 165(9)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้จัดการธนาคารสาขาของจำเลยจำเลยไล่โจทก์ออกโดยไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย ค่าจ้างค้างชำระ เงินสะสมเงินสมทบเงินสะสม เงินบำเหน็จ ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ค่าเสียหายและดอกเบี้ยจำเลยให้การว่า โจทก์ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงในการปฏิบัติหน้าที่ จำเลยจึงไล่โจทก์ออกโดยชอบ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินทุกจำนวนและคดีขาดอายุความ ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าสิทธิเรียกร้องค่าจ้างค้างชำระ สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีขาดอายุความแล้ว โจทก์รับซื้อเช็คเดินทางต่างประเทศจากนายสมชัยหลายฉบับโดยไม่มีหน้าที่และเช็คเรียกเก็บเงินไม่ได้ เพราะเป็นเช็คสูญหายและถูกลัก และเจ้าของเช็คได้อายัดไว้ จำเลยจึงแจ้งความดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ ศาลอาญาและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ยกฟ้อง คดีถึงที่สุด ศาลแรงงานกลางเห็นว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อทำให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของจำเลยการเลิกจ้างโจทก์ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายอันเกิดแต่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ การกระทำของโจทก์ต้องด้วยประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 47(5) จำเลยเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ค่าเสียหายอันเกิดแก่การถูกฟ้องเป็นคดีอาญานั้นจำเลยใช้สิทธิในทางศาลโดยสุจริตและชอบธรรมเป็นไปตามกระบวนพิจารณาความอาญา จำเลยไม่ได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายจึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ จำเลยไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายส่วนนี้ ตามคำสั่งที่6/2515 เรื่องการจัดสรรเงินเพื่อสวัสดิการของพนักงาน (ฉบับที่ 3)เอกสารหมาย จ.4 ข้อ 5.1 แสดงว่าจำเลยได้หักเงินเดือนโจทก์ไว้ร้อยละห้าเป็นเงินสะสมและจะคืนให้เมื่อโจทก์ออกจากงาน เงินดังกล่าวเป็นเงินของโจทก์เองจำเลยจึงต้องคืนให้โจทก์ตามจำนวนที่ปรากฏในเอกสารหมาย จ.2 เป็นจำนวน 16,787.50 บาท ส่วนเงินสมทบเงินสะสมและเงินบำเหน็จนั้นจำเลยจะจ่ายให้แก่พนักงานที่ออกจากงานโดยไม่มีความผิด เมื่อโจทก์ออกจากงานโดยมีความผิด จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายเงินจำนวนนี้ พิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินสะสม 16,787.50 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “โจทก์อุทธรณ์สรุปเป็นใจความสำคัญได้ว่า การวินิจฉัยว่าโจทก์ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงในการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่นั้น จะต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา คือสำนวนคดีอาญาหมายเลขดำที่ 107/2526 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 29622/2527 ของศาลอาญาเพราะคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ถูกเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม จึงขอค่าเสียหายอันเกิดแต่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม การฟ้องเช่นว่านี้เป็นการฟ้องตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 49 ซึ่งเป็นกฎหมายสารบัญญัติส่วนหนึ่งที่เกี่ยวด้วยการคุ้มครองแรงงาน หาใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ภาค 1 ลักษณะ 3หมวด 2 ไม่ ดังนั้น การที่จะวินิจฉัยว่าการเลิกจ้างโจทก์เป็นธรรมหรือไม่นั้น ศาลแรงงานกลางไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามที่โจทก์อุทธรณ์ หากแต่จะพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในชั้นพิจารณาเท่านั้น อุทธรณ์โจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยเฉพาะค่าจ้างค้างชำระตามอุทธรณ์ข้อ 2.1 ว่าขาดอายุความแล้วหรือไม่ เห็นว่า เงินเดือนเป็นค่าจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 2 และเป็นสินจ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 575และหากค่าอาหาร ค่าพาหนะกับค่ารับรอง เป็นค่าจ้าง (ซึ่งศาลฎีกายังมิได้ถือเช่นนั้น) เงินสามประเภทนั้นย่อมเป็นค่าจ้างและสินจ้างตามที่กล่าวข้างต้นดุจกัน โจทก์ฟ้องว่าจำเลยจ่ายค่าจ้างเดือนละสองครั้งคือ ประมาณกลางเดือนกับประมาณสิ้นเดือน โจทก์ได้รับเงินเดือนสำหรับงวดวันที่ 15 ตุลาคม 2525 ไปแล้ว แต่งวดที่สองคือวันที่ 31 ตุลาคม 2525 ยังไม่ได้รับโจทก์ก็ถูกเลิกจ้างเสียก่อนเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2525 ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อกรณีเป็นเช่นนี้วันเริ่มแต่ขณะที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องค่าจ้างย่อมเริ่มนับแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2525 เป็นต้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 169 สิทธิเรียกร้องค่าจ้างเช่นว่านี้เกิดแต่สัญญาจ้างแรงงานและเกิดแต่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง มิใช่เป็นสิทธิเรียกร้องอันตั้งหลักฐานขึ้นโดยคำพิพากษาชั้นที่สุดของศาลตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 107/2526 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 29622/2527หรือโดยคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการ หรือโดยประนีประนอมยอมความซึ่งมีกำหนดอายุความสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 168 ดังที่โจทก์อุทธรณ์ โจทก์ยกกฎหมายว่าด้วยอายุความขึ้นปรับคดีโดยไม่ตรงต่อรูปเรื่อง สิทธิเรียกร้องค่าจ้างของโจทก์ในคดีนี้ชอบที่จะปรับด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(9)ซึ่งมีกำหนดอายุความสองปี เมื่อโจทก์อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องได้นับแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2525 แต่โจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2530 โจทก์จึงมิได้บังคับตามสิทธิเรียกร้องเสียภายในระยะเวลาอันกฎหมายกำหนดไว้ คดีโจทก์สำหรับค่าจ้างค้างชำระจึงตกเป็นอันขาดอายุความ ห้ามมิให้ฟ้องร้องที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ที่เรียกค่าจ้างค้างชำระขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 166 นั้น ศาลฎีกาเห็นด้วยในผล
อนึ่ง คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินสะสมที่จำเลยหักจากเงินเดือนโจทก์ร้อยละห้า โดยมีคำขอให้จำเลยจ่ายเป็นจำนวน 16,750 บาท แต่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่าย16,787.50 บาท จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอโดยมิได้อ้างให้ปรากฏซึ่งเหตุอันสมควรเพื่อความเป็นธรรมแก่โจทก์ประการใดเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 52 การพิจารณาเกินคำขอตามที่กล่าวข้างต้นเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในอุทธรณ์ก็ตาม ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาจึงแก้ไขเสียให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายเงินสะสมแก่โจทก์ 16,750 บาทนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง