คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2131/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำสั่งคำขอปลดจากล้มละลายอาจแยกได้เป็น 2 กรณีคือ กรณีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษ พระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 71 วรรคสอง ที่ห้ามมิให้ศาลมีคำสั่งปลดจาก ล้มละลาย ถ้าได้ความว่าเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต นอกจากจะมี เหตุผลพิเศษและลูกหนี้ได้ล้มละลายแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี และตามมาตรา 72 ที่กำหนดว่าถ้าพิจารณาข้อเท็จจริงได้ความ อย่างหนึ่งอย่างใดดังกล่าวไว้ในมาตรา 73 แล้ว ให้ศาลมีคำสั่ง อย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างตาม (1) ถึง (4) ถ้าไม่ใช่กรณี ดังกล่าวแล้วก็เป็นกรณีทั่วไปซึ่งศาลมีอำนาจมีคำสั่ง อย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 71 วรรคหนึ่ง เมื่อข้อเท็จจริงต้องด้วยข้อกำหนดตามมาตรา 73(1) จึงเป็น กรณีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษให้ศาลมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใด หรือหลายอย่างตามมาตรา 72(1) ถึง (4) ศาลจะมีคำสั่งปลดจากล้มละลายโดยไม่มีเงื่อนไขไม่ได้ ต้องมีคำสั่งปลดจากล้มละลายตามวิธีที่บัญญัติไว้ในมาตรา 72(4) เท่านั้น กรณีพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 73(1) ระบุว่า สินทรัพย์ของบุคคลล้มละลายที่อาจแบ่งแก่เจ้าหนี้ได้มีเหลือ ไม่ถึงห้าสิบในร้อยของหนี้ที่ไม่มีประกันนั้นหมายความว่า ในขณะที่บุคคลล้มละลายร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้มีคำสั่งปลดจาก ล้มละลายบุคคลล้มละลายมีทรัพย์สินที่อาจแบ่งแก่เจ้าหนี้ได้ ไม่ถึงห้าสิบในร้อยของหนี้ที่ไม่มีประกันการที่เจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์ไม่สามารถรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ได้หลังจาก ศาลมีคำสั่งปิดคดี ย่อมอยู่ในความหมายของมาตรา 73(1) ดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เต็มจำนวนหนี้ซึ่งยังไม่ได้ชำระให้เสร็จ ภายในกำหนดเวลา 2 ปี นับแต่วันที่มีคำสั่งตามมาตรา 72(4) จึงชอบแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองไว้เด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยทั้งสองล้มละลายต่อมาจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่าในส่วนของจำเลยที่ 2 จำนวนหนี้ที่เจ้าหนี้ได้รับชำระไปแล้วประมาณร้อยละเก้าสิบของหนี้ทั้งหมดและนับแต่จำเลยที่ 2 ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจำเลยที่ 2ไม่มีทรัพย์สินใดให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รวบรวมมาแบ่งให้แก่เจ้าหนี้ได้ การที่จำเลยที่ 2 ยังคงล้มละลายต่อไปไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งหลาย ขอให้มีคำสั่งปลดจำเลยที่ 2จากล้มละลาย
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นรายงานเกี่ยวกับกิจการทรัพย์สินและความประพฤติของจำเลยที่ 2 และรายงานว่า หลังจากศาลมีคำสั่งให้ปิดคดี เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่สามารถรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ได้อีก จำเลยที่ 2 ถูกฟ้องขอให้ล้มละลายเพราะทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 และไม่สามารถชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ กับไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 กระทำความผิดในทางอาญาเกี่ยวกับการล้มละลาย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ปลดจำเลยที่ 2 จากล้มละลายโดยให้จำเลยที่ 2 ใช้เงินให้แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์เต็มจำนวนหนี้ซึ่งยังไม่ได้ชำระให้เสร็จภายในกำหนดเวลา 2 ปี นับแต่วันที่มีคำสั่งตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 72(4)
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีล้มละลายพิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “คำสั่งคำขอปลดจากล้มละลายอาจแยกได้เป็น 2 กรณี คือ กรณีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษ อันได้แก่ พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 71 วรรคสอง ที่บัญญัติห้ามมิให้ศาลมีคำสั่งปลดจากล้มละลายถ้าได้ความว่าเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต นอกจากจะมีเหตุผลพิเศษและลูกหนี้ได้ล้มละลายแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า5 ปี และตามมาตรา 72 ที่บัญญัติว่า ถ้าพิจารณาข้อเท็จจริงได้ความอย่างหนึ่งอย่างใดดังกล่าวไว้ในมาตรา 73 แล้วให้ศาลมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างตาม (1) ถึง (4)ถ้าไม่ใช่กรณีดังที่บัญญัติในมาตรา 71 วรรคสอง และมาตรา 72ดังกล่าวข้างต้นแล้วก็เป็นกรณีทั่วไปซึ่งศาลมีอำนาจมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 71 วรรคหนึ่ง คดีนี้ตามรายงานของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ความว่า มีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 รวม 4 รายเป็นเงินทั้งสิ้น 2,916,766.76 บาท ต่อมาเจ้าหนี้รายที่ 5และที่ 7 ขอถอนคำขอรับชำระหนี้ คงเหลือเจ้าหนี้รายที่ 2ที่ได้รับอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้ 240,301.37 บาท และเจ้าหนี้รายที่ 9 ที่ได้รับอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้ 132,305 บาท จำเลยที่ 2มีที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 41085 และ 41086 ตำบลบางเขน (สวนใหญ่)อำเภอเมืองนนทบุรี (ตลาดขวัญ) จังหวัดนนทบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างแต่ถูกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยึดและขายทอดตลาดชำระหนี้จำนองให้แก่ธนาคารทหารไทย จำกัด เจ้าหนี้ผู้รับจำนองหลังจากศาลมีคำสั่งให้ปิดคดี เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่สามารถรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ได้อีกแสดงว่าจำเลยที่ 2มีสินทรัพย์เหลือไม่ถึงห้าสิบในร้อยของหนี้ที่ไม่มีประกันเหตุที่เป็นเช่นนั้นไม่ใช่เป็นเหตุสุดวิสัย แต่เป็นเพราะความประมาทหรือความผิดพลาดของจำเลยที่ 2 ที่ยอมทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 อันควรตำหนิจำเลยที่ 2 มากกว่า และจำเลยที่ 2ไม่อาจแสดงให้เป็นที่พอใจต่อศาลได้ว่าจำเลยที่ 2 มีเหตุผลที่ควรเชื่อได้ว่า หากจำเลยที่ 1ไม่ชำระหนี้ จำเลยที่ 2สามารถชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 ได้ จึงได้ยอมก่อหนี้ตามสัญญาค้ำประกัน เมื่อข้อเท็จจริงต้องด้วยข้อกำหนดมาตรา 73(1)จึงเป็นกรณีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษให้ศาลมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างตามมาตรา 72(1) ถึง (4) ศาลจะมีคำสั่งปลดจากล้มละลายโดยไม่มีเงื่อนไขไม่ได้ ต้องมีคำสั่งปลดจากล้มละลายตามวิธีที่บัญญัติไว้ในมาตรา 72(4) เท่านั้นทั้งไม่ใช่กรณีทั่วไปที่ศาลมีอำนาจมีคำสั่งปลดจากล้มละลาย ตามมาตรา 71 วรรคหนึ่ง
ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาในข้อสุดท้ายว่า ข้อเท็จจริงตามมาตรา 73(1) เป็นเรื่องเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รวบรวมทรัพย์สินของบุคคลล้มละลายแล้วแบ่งแก่เจ้าหนี้จนเหลือไม่ถึงห้าสิบในร้อยของหนี้ที่ไม่มีประกัน แต่กรณีของจำเลยที่ 2เป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่สามารถรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 มาแบ่งให้แก่เจ้าหนี้ได้ ข้อเท็จจริงจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 73(1) ที่ให้ศาลสั่งตามมาตรา 72 การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นให้ปลดจำเลยที่ 2 จากล้มละลายตามมาตรา 72(4) จึงไม่ชอบนั้น เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 73(1) ที่ระบุว่าสินทรัพย์ของบุคคลล้มละลายที่อาจแบ่งแก่เจ้าหนี้ได้มีเหลือไม่ถึงห้าสิบในร้อยของหนี้ที่ไม่มีประกันนั้นหมายความว่า ในขณะที่บุคคลล้มละลายร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้มีคำสั่งปลดจากล้มละลาย บุคคลล้มละลายมีทรัพย์สินที่อาจแบ่งแก่เจ้าหนี้ได้ไม่ถึงห้าสิบในร้อยของหนี้ที่ไม่มีประกัน การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่สามารถรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ได้หลังจากศาลมีคำสั่งปิดคดีย่อมอยู่ในความหมายของมาตรา 73(1) ดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามมาตรา 73(1) ศาลจึงต้องมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างตามมาตรา 72(1) ถึง (4) ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นให้ปลดจำเลยที่ 2 จากล้มละลายตามวิธีที่บัญญัติไว้ในมาตรา 72(4) จึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาจำเลยที่ 2 ทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share