คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2130/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ตามพฤติการณ์แห่งคดีที่ผู้ตาย และผู้เสียหายกับพวกเข้าไปทำร้ายจำเลยแล้ว จำเลยใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายและผู้เสียหายในลักษณะต่อเนื่องกัน จำเลยมิได้มีเจตนาฆ่าผู้ตายก่อนแล้วเกิดเจตนาฆ่าผู้เสียหายเพิ่มขึ้นอีก การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 288, 80, 371, 33, 91 ริบมีดของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 288 ประกอบมาตรา 80, 371 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมให้เรียงกระทงลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่น ให้จำคุกตลอดชีวิต ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นให้จำคุก 12 ปี ฐานพาอาวุธไปในหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุสมควร ให้ปรับ 100 บาท รวมจำคุกตลอดชีวิตและปรับ 100 บาท ชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงลงโทษจำคุก 33 ปี 4 เดือน และปรับ 66.66 บาท ริบมีดของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เฉพาะการปรับบทลงโทษจำเลย (ที่ถูกแก้เฉพาะการรวมโทษและลดโทษ) เป็นว่า ฐานฆ่าผู้อื่น จำคุกตลอดชีวิต ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 12 ปี ฐานพาอาวุธไปในหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 100 บาท ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กระทงละหนึ่งในสาม ฐานฆ่าผู้อื่นจำคุก 33 ปี 4 เดือน ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 8 ปี ฐานพาอาวุธไปในหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุอันสมควร ปรับ 66.66 บาท รวมจำคุก 41 ปี 4 เดือน และปรับ 66.66 บาท แต่เนื่องจากโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ในปัญหาดังกล่าว จึงให้จำคุกจำเลย 33 ปี 4 เดือน และปรับ 66.66 บาท ตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง จำเลยใช้อาวุธมีดแทงนายพล สีมหาดไทย เป็นเหตุให้นายพลถึงแก่ความตายและแทงนายประนอม สีมหาดไทย ผู้เสียหาย ผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตาย แต่เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ในเบื้องต้นมีข้อต้องวินิจฉัยก่อนว่า การที่จำเลยใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายและผู้เสียหายนั้นเป็นเพราะจำเลยถูกทำร้ายหรือไม่ พยานโจทก์ที่เป็นฝ่ายผู้ตายได้แก่ ผู้เสียหายและนายสุพจน์เบิกความว่า เมื่อจำเลยมาถึงร้านที่เกิดเหตุก็ใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายและผู้เสียหาย แต่พยานโจทก์อีกชุดหนึ่งได้แก่นางสาวประภัสสรและนายชูชีพเบิกความว่า เมื่อจำเลยมาถึงที่เกิดเหตุ ผู้ตายกับพวกได้เข้าไปรุมทำร้ายจำเลยก่อนซึ่งเจือสมทางนำสืบของจำเลย เมื่อพิเคราะห์ถึงคำเบิกความของนางสาวประภัสสรอีกตอนหนึ่งที่ว่า ผู้ตายกับพวกได้ให้นางสาวประภัสสรไปตามจำเลยมา และนางสาวประภัสสรเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า พยานได้บอกจำเลยว่าไม่ต้องไปที่ร้านเพราะมีกลุ่มของผู้ตายรอทำร้ายอยู่ และนายชูชีพก็เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า นางสาวแป๋ว (หมายถึงนางสาวประภัสสร) แจ้งว่าก่อนเกิดเหตุชาย 6 คน นั้นพูดกันว่า หากเจอจำเลยแล้วต้องทำให้ตาย นางสาวแป๋วได้แจ้งกับจำเลยโดยห้ามไม่ให้จำเลยไปที่ร้านเกิดเหตุ รูปคดีจึงเชื่อว่าผู้ตายกับพวกรอที่จะทำร้ายจำเลยอยู่ที่ร้านเกิดเหตุ เมื่อจำเลยมาถึงร้านเกิดเหตุผู้ตายกับพวกได้ร่วมกันทำร้ายจำเลยก่อน จำเลยจึงใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายและผู้เสียหายเพื่อป้องกันตัวเอง แต่อย่างไรก็ตามพฤติการณ์ที่จำเลยได้ทราบจากนางสาวประภัสสรแล้วว่า ผู้ตายกับพวกรอจะทำร้ายจำเลย จำเลยยังพาอาวุธมีดออกจากบ้านมาหาผู้ตายกับพวกที่ร้านเกิดเหตุ แสดงว่าจำเลยพร้อมจะเผชิญหน้าต่อสู้กับผู้ตายและพวก แม้ผู้ตายกับพวกจะเป็นฝ่ายลงมือทำร้ายจำเลยก่อน แล้วเกิดการวิวาททำร้ายกัน ถือว่าจำเลยสมัครใจที่เข้าวิวาทกับผู้ตายกับพวก จำเลยจึงไม่อาจอ้างเหตุว่า กระทำไปเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายได้ จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายและพยายามฆ่าผู้เสียหายดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า จำเลยไม่มีความผิดฐานพาอาวุธมีดอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงนั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ซึ่งมีระวางโทษปรับไม่เกิน 100 บาท และศาลชั้นต้นลงโทษปรับจำเลย 66.66 บาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ ความผิดฐานนี้จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว จำเลยอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยความผิดฐานนี้ให้เป็นการไม่ชอบ จำเลยฎีกาในความผิดดังกล่าวอีก ถือว่าเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 3 ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
อนึ่ง ตามพฤติการณ์แห่งคดีที่ผู้ตาย และผู้เสียหายกับพวกเข้าไปทำร้ายจำเลยแล้ว จำเลยใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายและผู้เสียหายในลักษณะต่อเนื่องกัน จำเลยมิได้มีเจตนาฆ่าผู้ตายก่อนแล้วเกิดเจตนาฆ่าผู้เสียหายเพิ่มขึ้นอีก ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายและฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย เป็นความผิด 2 กรรมมานั้นจึงไม่ถูกต้อง ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นให้จำคุกตลอดชีวิตนั้น พิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่า เป็นการลงโทษที่หนักเกินไปศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขกำหนดโทษจำเลยเสียใหม่ให้เหมาะสมกับพฤติการณ์แห่งคดีเสียด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 และมาตรา 288, 80 เป็นการกระทำกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่น ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 18 ปี ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 12 ปี เมื่อรวมกับโทษฐานพาอาวุธมีดแล้ว เป็นจำคุก 12 ปี และปรับ 66.66 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share