แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เดิมโจทก์จำเลยถูก ม. ฟ้องขับไล่ออกจากอาคารและที่ดินพิพาท ศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ขับไล่โจทก์ และบริวาร และให้จำเลยรื้อถอนอาคาร ในคดีดังกล่าว จำเลยมิได้ให้การต่อสู้คดี แต่ให้การว่าจำเลยยินยอม รื้อถอนอาคารพิพาทออกจากที่ดิน แต่มีเหตุขัดข้องเนื่องจาก โจทก์ไม่ยอมขนย้ายออกจากอาคารพิพาท เมื่อศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาก็มีเพียงโจทก์ที่อุทธรณ์ฎีกา ความเสียหาย เกิดขึ้นในคดีดังกล่าวโจทก์จึงเป็นผู้ก่อขึ้นเพียงฝ่ายเดียว จะใช้บังคับให้จำเลยร่วมรับผิดกับโจทก์อย่างลูกหนี้ร่วม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 296 ได้ก็ต่อเมื่อ จำเลยมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นด้วยเท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมนายมนู ใจเย็น ฟ้องโจทก์และจำเลยเป็นคดีแพ่ง และศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ขับไล่โจทก์และบริวารออกไปจากอาคารเลขที่ 604 ให้จำเลยรื้อถอนอาคารดังกล่าวออกไป พร้อมส่งมอบที่ดินคืนนายมนูในสภาพเรียบร้อยหากไม่ดำเนินการให้นายมนูรื้อถอนเองโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ให้โจทก์และจำเลยร่วมกันชำระเงิน 15,000 บาท และค่าเสียหายเดือนละ5,000 บาท ต่อมาโจทก์นำเงิน 15,000 บาท กับค่าเสียหาย350,000 บาท ชำระหนี้แก่นายมนูหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ร่วมจำเลยจึงต้องรับผิดกึ่งหนึ่ง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 182,500 บาทให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า ค่าเสียหายตามคำฟ้องโจทก์ฝ่ายเดียวเป็นผู้ก่อ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน182,500 บาท ให้โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความว่า คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1638/2533 ของศาลชั้นต้น ศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้ขับไล่โจทก์และบริวารออกไปจากอาคารเลขที่ 604 ให้จำเลยรื้อถอนอาคารดังกล่าวออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 25493 ของนายมนู พร้อมส่งมอบที่ดินดังกล่าวคือนายมนู ในสภาพเรียบร้อย หากจำเลยไม่ดำเนินการให้นายมนูรื้อถอนเอง โดยโจทก์และจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้โจทก์และจำเลยร่วมกันชำระเงิน 15,000 บาท และชดใช้ค่าเสียหายแก่นายมนูเป็นเงินเดือนละ 5,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์และจำเลยจะออกไปและรื้อถอนอาคารออกไปจากที่ดินนายมนู กับให้โจทก์และจำเลยร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนนายมนูโดยกำหนดค่าทนายความ 1,500 บาท และข้อเท็จจริงยังได้ความต่อไปอีกจากคำเบิกความของตัวโจทก์ว่าตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ. 2530 ตลอดมาจนถึงวันบังคับในคดีดังกล่าวโจทก์เพียงฝ่ายเดียวเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในอาคารพิพาททั้งในคดีดังกล่าวจำเลยก็มิได้ต่อสู้คดี โดยให้การว่าจำเลยยินยอมรื้อถอนอาคารพิพาทออกไปจากที่ดินของนายมนู แต่มีเหตุขัดข้องเนื่องจากโจทก์ไม่ยอมย้ายออก เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจำเลยก็มิได้อุทธรณ์ฎีกา มีเพียงโจทก์ที่อุทธรณ์ฎีกาเห็นได้ว่าความเสียหายในคดีดังกล่าวโจทก์จึงเป็นผู้ก่อเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งความรับผิดของลูกหนี้ร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 296 ที่บัญญัติให้ต่างคนต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กันเว้นแต่จะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นนั้นจะบังคับแก่จำเลยได้ต่อเมื่อจำเลยมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นเท่านั้น เมื่อจำเลยมิได้มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์”
พิพากษายืน