แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การฟ้องคดีอาญาด้วยวาจาต่อศาลแขวงนั้น กฎหมายมิได้บัญญัติไว้เคร่งครัดเหมือนกับการฟ้องคดีด้วย ลายลักษณ์อักษรเพียงแต่มีรายละเอียดพอสมควร ให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ก็เป็นการเพียงพอแล้ว ฟ้องโจทก์ที่บรรยายว่า จำเลยที่ 1 ถึง ที่ 5 ฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยที่ 6 ถึง ที่ 9 อีกฝ่ายหนึ่งสมัครใจเข้าทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน โดยจำเลยที่ 1 ถึง ที่ 5 ร่วมกันชกต่อยฟัดเหวี่ยงทำร้ายจำเลยที่ 6 ถึง ที่ 9 ส่วนจำเลยที่ 6 ถึง ที่ 9 ร่วมกันชกต่อยฟัดเหวี่ยงทำร้ายจำเลยที่ 1 ถึง ที่ 5 ย่อมมีความหมายว่าแต่ละฝ่ายมีพวกตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ได้ร่วมกันกระทำความผิดในการทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่งในฐานะเป็นตัวการ ซึ่งโจทก์ได้อ้างประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 มาด้วยแล้ว แม้โจทก์มิได้บรรยายว่าจำเลยคนใดชกต่อยหรือทำร้ายจำเลยคนใดก็ไม่ทำให้เป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองฝ่ายต่างทำร้ายซึ่งกันและกันเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1, 2, 4 และ 6 มีบาดแผลดังที่บรรยายรายละเอียดมาในฟ้องแล้ว ทั้งระบุว่าเป็นอันตรายแก่กายด้วย จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ดังนี้ เท่ากับยอมรับในข้อเท็จจริงตามคำฟ้องว่า บาดแผลดังกล่าวเป็นอันตรายแก่กายจริง จำเลยจะฎีกาโต้เถียงว่าบาดแผลนั้นยังไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กายไม่ได้ เพราะเป็นการโต้เถียง ข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การรับสารภาพแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ร่วมกับจำเลยที่ ๒, ๓, ๔, ๕ ฝ่ายหนึ่งและจำเลยที่ ๖ ร่วมกับจำเลยที่ ๗, ๘ และ ๙ อีกฝ่ายหนึ่ง สมัครใจเข้าทำร้ายซึ่งกันและกัน โดยจำเลยที่ ๑ – ๕ ร่วมกันชกต่อยฟัดเหวี่ยงทำร้ายจำเลยที่ ๖ – ๙ และ จำเลยที่ ๖ – ๙ ร่วมกันชกต่อยฟัดเหวี่ยงจำเลยที่ ๑ – ๕ เป็นเหตุให้จำเลยที่ ๑ หัวไหล่ฟกช้ำ ศีรษะบวม ด้านหลังเป็นแผลฟกช้ำ รักษา ๓ วัน จำเลยที่ ๒ นิ้วกลางหนังกำพร้าหลุดครึ่งเซนติเมตร รักษา ๓ วัน จำเลยที่ ๔ ฟกช้ำท้ายทอย รักษา ๓ วัน จำเลยที่ ๖ ฟกช้ำที่หัวไหล่ด้านซ้าย นิ้วชี้ด้านซ้ายถลอกหนังกำพร้าหลุด ๑ เซนติเมตร หน้าแตกโลหิตไหล รักษา ๑๕ วัน ได้รับอันตรายแก่กาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕, ๘๓
จำเลยทั้งเก้าให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งเก้ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕, ๘๓ จำเลยที่ ๓ อายุไม่เกิน ๑๗ ปี (ที่ถูก ๑๘ ปี) ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว จำเลยทั้งเก้ารับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ จำคุกจำเลยที่ ๓ มีกำหนด ๑๕ วัน จำเลยอื่นนอกนั้นจำคุกคนละ ๑ เดือน เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังตามมาตรา ๒๓
จำเลยที่ ๘ อุทธรณ์ขอให้เปลี่ยนโทษกักขังเป็นรอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๘ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในปัญหาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่นั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องคดีต่อศาลแขวง และเป็นการฟ้องด้วยวาจา ซึ่งกฎหมายมิได้บัญญัติไว้เคร่งครัดเหมือนกับการฟ้องด้วยลายลักษณ์อักษร เพียงมีรายละเอียดพอสมควรให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีก็เป็นการเพียงพอแล้ว โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ร่วมกับจำเลยที่ ๒, ๓, ๔ และ ๕ ฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยที่ ๖ ร่วมกับ จำเลยที่ ๗, ๘ และ ๙ อีกฝ่ายหนึ่ง สมัครใจเข้าทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน โดยจำเลยที่ ๑, ๒, ๓, ๔ และ ๕ ร่วมกันชกต่อยฟัดเหวี่ยงทำร้ายจำเลยที่ ๖, ๗, ๘ และ ๙ ส่วนจำเลยที่ ๖, ๗, ๘ และ ๙ ร่วมกันชกต่อยฟัดเหวี่ยงทำร้ายจำเลยที่ ๑, ๒, ๓, ๔ และ ๕ อันเป็นการฟ้องว่าจำเลยทั้งสองฝ่ายต่างเข้าทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันย่อมมีความหมายว่าแต่ละฝ่ายมีพวกตั้งแต่ ๒ คน ขึ้นไปได้ร่วมกระทำความผิดในการทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่งในฐานเป็นตัวการ ซึ่งโจทก์ได้อ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ มาด้วยแล้ว แม้โจทก์จะไม่ได้บรรยายว่า จำเลยคนใดชกต่อยหรือทำร้ายจำเลยคนใด ก็ไม่ทำให้เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ที่จำเลยที่ ๘ ฎีกาว่า บาดแผลของจำเลยที่ ๑, ๒ และ ๔ ไม่เป็นอันตรายแก่กายเพราะเป็นเพียงรอยถลอก ฟกช้ำ หนังกำพร้าถลอก ส่วนจำเลยที่ ๖ มีบาดแผลลักษณะเดียวกัน ที่โจทก์ฟ้องว่าหน้าแตกโลหิตไหลก็มิได้ระบุขนาดของบาดแผล ทั้งมิได้แบบรายงานชันสูตรบาดแผลมาท้ายฟ้อง และที่ว่าบาดแผลของจำเลยที่ ๖ รักษา ๑๖ วัน ก็เป็นการคาดคะเนของเจ้าพนักงาน พฤติการณ์ในการกระทำตามฟ้องยังไม่ถึงขั้นรุนแรง บาดแผลไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กาย จำเลยที่ ๘ ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕ นั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๘ กับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน เป็นเหตุให้จำเลยที่ ๑, ๒, ๔ และ ๖ ได้รับอันตรายแก่กาย จำเลยที่ ๘ ให้การรับสารภาพตามฟ้อง ซึ่งเท่ากับจำเลยที่ ๘ ยอมรับในข้อเท็จจริงตามฟ้องว่าบาดแผลดังกล่าวเป็นอันตรายแก่กายจริง จำเลยที่ ๘ จะฎีกาโต้เถียงว่าบาดแผลนั้นยังไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กายหาได้ไม่ เพราะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ ๘ ให้การรับสารภาพแล้ว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.