แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องตอนต้นว่า จำเลยลักทรัพย์ ในตอนต่อมาบรรยายว่าจับทรัพย์ได้ที่จำเลย จำเลยจึงลักทรัพย์หรือรับของโจร ทรัพย์รายเดียวกันดังนี้ เป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 แล้ว หาเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2504)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2501 เวลากลางคืน จำเลยสมคบกันลักเรือมาด 1 ลำ ราคา 500 บาทของโจทก์ ต่อมาวันที่ 30 เม.ย. 2502 โจทก์กับเจ้าพนักงานพบเรือดังกล่าวอยู่ที่บ้านจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยสมคบกันลักไป หรือมิฉะนั้นจำเลยที่ 1 รับเรือนี้ไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์อันได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 335, 357
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า ฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 เคลือบคลุมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 โจทก์ฟ้องลักทรัพย์ฐานเดียว ไม่เคลือบคลุม คดีสำหรับจำเลยที่ 2 มีมูลฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335 ให้ประทับฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2
โจทก์อุทธรณ์ว่าฟ้องไม่เคลือบคลุม
ศาลอุทธรณ์ว่าฟ้องเคลือบคลุม อ้างฎีกาที่ 1914/2495 และที่ 904/2496 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ฟ้องตอนต้นบรรยายว่าจำเลยได้ลัก แต่ในตอนต่อมาว่าจำเลยรับของโจร แต่เมื่ออ่านคำฟ้องทั้งหมดแล้ว ก็คงได้ใจความว่า โจทก์ไม่แน่ใจว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ลัก แต่ด้วยเหตุที่จับเรือของกลางได้ที่จำเลยที่ 1จึงขอให้ศาลพิจารณาลงโทษจำเลยทั้งสองฐาน เห็นได้ว่าคำฟ้องไม่ถึงกับขัดแย้งกันจนทำให้จำเลยผิดหลงหรือไม่สามารถเข้าใจข้อหาได้ดี ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่าฟ้องดังกล่าวชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 แล้ว หาเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่ พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลทั้งสองที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 เสีย ให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องไว้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามรูปความ