คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2118/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาชั้นอุทธรณ์นั้น นอกจากโจทก์จะเป็นคนยากจนแล้ว คดีของโจทก์ต้องมีเหตุผลสมควรที่จะอุทธรณ์ด้วย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์ เนื่องจากคดีของโจทก์ไม่มีเหตุผลสมควรที่จะอุทธรณ์ โจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่งศาลภายใน 7 วัน ประเด็นที่ว่าคดีโจทก์มีเหตุผลสมควรที่จะอุทธรณ์หรือไม่ย่อมยุติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสุดท้าย เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคำขออนาถาใหม่ โจทก์คงมีสิทธิเพียงนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าโจทก์เป็นคนยากจนเท่านั้น แต่เมื่อคดีฟังยุติว่าคดีโจทก์ไม่มีเหตุผลสมควรที่จะอุทธรณ์แล้วศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะยกคำร้องขอของโจทก์ที่ขอให้พิจารณาคำขออนาถาใหม่เสียได้โดยไม่จำต้องไต่สวนก่อน
การที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่ให้โจทก์อุทธรณ์อย่างคนอนาถาโดยกำหนดเวลาให้โจทก์นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางต่อศาลภายใน 30 วันนับแต่วันทราบคำพิพากษา คำสั่งดังกล่าวเป็นการกำหนดเวลาโดยอาศัยอำนาจของศาลที่มีอยู่ทั่วไปในการที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาใดที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะหรือห้ามไว้ไปในทางที่เห็นว่ายุติธรรมและสมควร และคำสั่งดังกล่าวมิใช่เป็นการขยายระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ ๒ โอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างคืนโจทก์ถ้าคืนไม่ได้ให้จำเลยทั้งสองใช้เงิน ๓,๖๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายโดยศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ฟ้องคดีอย่างคนอนาถา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชดใช้เงินโจทก์ ๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท ให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ ๕,๐๐๐ บาท ยกฟ้องจำเลยที่ ๒ ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์พร้อมกับยื่นคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา อ้างว่าเป็นคนยากจนไม่สามารถเสียค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งเมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๒๘ ว่าคดีโจทก์ไม่มีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ ให้ยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ หากโจทก์ติดใจจะอุทธรณ์ให้นำค่าฤชาธรรมเนียมมาชำระภายในวันที่๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๘ โจทก์ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคำขอใหม่เมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๘ ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลสั่งไม่อนุญาตเพราะเหตุว่าคดีของโจทก์ไม่มีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ ไม่ใช่เรื่องยากจนหรือไม่ โจทก์จึงขออนาถาใหม่ไม่ได้ ให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ถ้าโจทก์จะอุทธรณ์ให้นำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระภายในกำหนด ๓๐ วัน นับแต่วันทราบคำพิพากษา
โจทก์และจำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าคดีโจทก์มีเหตุที่จะอุทธรณ์ได้และโจทก์ย่อมจะเลือกใช้วิธีอุทธรณ์คำสั่งภายใน ๗ วัน หรือจะยื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาคำขอใหม่ก็ย่อมได้นั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๕๖ วรรคสี่ที่บัญญัติให้ผู้ขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถามีสิทธิยื่นคำร้องขอต่อศาลให้พิจารณาคำขออนาถาใหม่ได้ก็เฉพาะเพื่ออนุญาตให้ผู้ขอนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมในประเด็นว่าผู้ขอเป็นคนยากจนเท่านั้น หาได้ให้สิทธิแก่ผู้ขอที่จะขอให้ศาลพิจารณาใหม่ในประเด็นว่าคดีของผู้ขอมีเหตุอันสมควรจะอุทธรณ์ด้วยไม่ และประเด็นที่ศาลชั้นต้นชี้ขาดว่าคดีของโจทก์ไม่มีเหตุผลสมควรที่จะอุทธรณ์ก็ยุติแล้วเพราะโจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวภายใน ๗ วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๕๖ วรรคสุดท้าย ในการขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาชั้นอุทธรณ์นั้นนอกจากผู้ขอจะเป็นคนยากจนแล้ว คดีของผู้ขอต้องมีเหตุผลอันสมควรที่จะอุทธรณ์ด้วย ดังนั้นแม้ศาลจะอนุญาตให้โจทก์นำพยานมาสืบเพิ่มเติมก็ตาม คดีก็ต้องฟังตามข้อยุติว่าคดีของโจทก์ไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะยกคำร้องขอของโจทก์ที่ขอให้พิจารณาคำขออนาถาใหม่เสียได้โดยหาจำต้องไต่สวนก่อนไม่
สำหรับฎีกาจำเลยที่ ๒ ที่ว่า ไม่มีกฎหมายให้อำนาจศาลอุทธรณ์สั่งว่าถ้าโจทก์จะอุทธรณ์ให้นำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระภายใน ๓๐ วันนับแต่วันทราบคำพิพากษา ทั้งเป็นการสั่งนอกคำขอของโจทก์นั้น เห็นว่าคำสั่งศาลอุทธรณ์ดังกล่าวเป็นการกำหนดเวลาโดยอาศัยอำนาจของศาลที่มีอยู่ทั่วไปในการที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาใดที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะหรือห้ามไว้ไปในทางที่เห็นว่ายุติธรรมและสมควร และการกำหนดระยะเวลาดังกล่าวมิใช่เป็นการขยายระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓ อันจะทำได้ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษ และต้องทำก่อนสิ้นระยะเวลานั้น
พิพากษายืน

Share