คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2110/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ศาลชั้นต้นกำหนดชั้นชี้สองสถานว่าจำเลยตกลงขายที่ดินให้โจทก์กี่ไร่เป็นเงินเท่าใด มีความหมายเพียงไร นั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมาย
ฟ้องกล่าวว่า จำเลยตกลงขายที่ดินมีโฉนดให้โจทก์ทั้งแปลง เนื้อที่ 4 ไร่ จำเลยผิดสัญญาจะแบ่งขายให้เพียง3 ไร่ จำเลยให้การว่า ไม่ได้ตกลงขายที่ดินทั้งแปลงเพราะโจทก์จำเลยตกลงกันใหม่ เปลี่ยนแปลงเป็นว่า ตกลงซื้อขายกัน 3 ไร่ ดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่าจำเลยตกลงขายที่ดินให้โจทก์กี่ไร่ ย่อมครอบคลุมไปถึงข้อต่อสู้ของจำเลยอยู่แล้ว. ไม่จำเป็นต้องแยกแยะประเด็นออกไปอีกว่า ตกลงกันใหม่จริงหรือไม่. ข้อตกลงใหม่นั้นถ้าเกิดเป็นปัญหาดังเช่นที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา361 บัญญัติไว้ คำเสนอและคำสนองเช่นนั้น ย่อมมีผลเปลี่ยนแปลงสัญญาจะซื้อขายที่ดินเดิม จำเลยย่อมมีสิทธินำสืบได้ตามข้อต่อสู้ เพราะเป็นการนำสืบตรงตามประเด็นแล้ว
จำเลยมีจดหมายถึงโจทก์ 2 ฉบับ มีข้อความสำคัญว่า จะขายที่ดินให้โจทก์เพียง 3 ไร่ จะเอาเหลือไว้ 1 ไร่ฯลฯ ดังนี้ ถือได้ว่าเป็นคำเสนอของจำเลยเพื่อเปลี่ยนแปลงเนื้อที่ที่ตกลงซื้อขายกันตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินทั้งแปลงซึ่งมีเนื้อที่ 4 ไร่ ในราคา 400,000 บาทอีกหนึ่งปีเศษต่อมา โจทก์มีจดหมายตอบจำเลยมีใจความสำคัญว่า ได้รับจดหมายของจำเลยแล้ว เรื่องการแบ่งที่โจทก์ก็อยากจะให้เสร็จและกล่าวถึงการขอโฉนดไปทำเรื่องโอนใหม่ขอให้เห็นความจำเป็นของโจทก์ และว่าค่าที่ดินโจทก์ยังค้างอยู่อีก 1,000 บาทจึงจะครบ 300,000 บาท จดหมายของโจทก์ฉบับนี้พออนุมานได้ว่าเป็นคำสนองของโจทก์ตอบรับคำเสนอไปถึงจำเลย ทำให้เกิดเป็นสัญญาขึ้นแล้วโดยยอมให้จำเลยกันเนื้อที่ในโฉนดเอาไว้ 1 ไร่ คงตกลงซื้อขายกันเพียง 3 ไร่ อันมีผลเปลี่ยนแปลงเนื้อที่ตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินเดิม จากจำนวน 4 ไร่ เป็นการตกลงซื้อขายที่ดินเพียง 3 ไร่ จำเลยจึงมีสิทธิโอนขายที่น้อยกว่าที่ตกลงทำสัญญากันครั้งแรก โจทก์จะขอบังคับให้จำเลยโอนขายที่ดินทั้งแปลงหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 8526 เนื้อที่ทั้งแปลงประมาณ 4 ไร่ให้โจทก์ในราคา 400,000 บาท โดยสัญญาว่าจะไปทำการโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์เมื่อโจทก์ชำระค่าที่ดินหมดสิ้นแล้ว โจทก์ได้ชำระเงินค่าที่ดินให้จำเลยรับไปแล้วก่อนวันทำสัญญาเป็นเงิน 86,500 บาท จำเลยมอบที่ดินโฉนดเลขที่ 8526 ให้โจทก์ครอบครองทั้งแปลงตั้งแต่วันทำสัญญาเป็นต้นมา โจทก์ขอชำระค่าที่ดินที่ค้าง 100,000 บาท จำเลยไม่ยอมรับไม่ยอมโอนขายให้โจทก์จะแบ่งขายให้โจทก์เพียง 3 ไร่ ขอให้บังคับจำเลยรับเงินค่าที่ดินที่ค้างจำนวน 100,000 บาท จากโจทก์ ให้จำเลยจัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 8526 เนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ให้โจทก์ถ้าไม่ไปขอให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นเครื่องแสดงเจตนาของจำเลย

จำเลยให้การว่า เมื่อประมาณ พ.ศ. 2499 จำเลยได้ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 8526 ให้โจทก์ไป 1 ไร่ ในราคา 100,000 บาท ยังมิได้แบ่งแยกโฉนดต่อมาต้น พ.ศ. 2501 จำเลยยอมขายที่ดินเพิ่มให้ 1 ไร่เอกสารภาพถ่ายสัญญาจะซื้อขายที่ดินท้ายฟ้องจำเลยได้ลงลายมือชื่อไปโดยไม่ได้อ่านข้อความ โจทก์มาขอร้องให้จำเลยลงลายมือชื่อเพื่อเป็นหนังสือรับรองต่อสำนักงานทำเนียบนายกรัฐมนตรีว่าจำเลยจะขายที่ดินให้โจทก์ 4 ไร่ จึงไม่ใช่นิติกรรมที่มุ่งผูกนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลย แม้จะเป็นนิติกรรมสัญญาจะซื้อขายที่ดินเฉพาะส่วนที่ดินด้านนอกเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ก็เป็นโมฆะ ราว พ.ศ. 2502 โจทก์จะขอซื้อที่ดินที่เหลืออีกประมาณ 1 ไร่ แต่จำเลยไม่ยอมขายสัญญาจะซื้อขายที่ดิน แม้จะกระทำต่อกันก็ได้มีการตกลงเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเดิมโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือว่าโจทก์จำเลยตกลงซื้อขายกันรวม 3 ไร่เท่านั้น จำเลยไม่ใช่ฝ่ายผิดสัญญา

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจัดการจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 8526 เนื้อที่ 3 ไร่แก่โจทก์ถ้าจำเลยไม่ไปจัดการโอน ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้จำเลยรับเงินจากโจทก์ 100,000 บาทแล้วให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 8526 ให้โจทก์ทั้งแปลง

จำเลยฎีกา

ในประเด็นข้อแรก ตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดชั้นชี้สองสถานว่าจำเลยตกลงขายที่ดินให้โจทก์กี่ไร่ เป็นเงินเท่าใด มีความหมายเพียงไรนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นว่า สภาพแห่งข้อหาตามฟ้องก็คือจำเลยตกลงขายที่ดินโฉนดเลขที่ 8526 ให้โจทก์ทั้งแปลง เนื้อที่ 4 ไร่ตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินฉบับลงวันที่ 4 มิถุนายน 2501 แล้วจำเลยผิดสัญญาจะแบ่งขายให้บางส่วนเพียง 3 ไร่เท่านั้น โดยกันที่ดินเอาไว้เสีย 1 ไร่ จำเลยให้การว่าไม่ได้ตกลงขายที่ดินทั้งแปลงเพราะโจทก์จำเลยตกลงกันใหม่ เปลี่ยนแปลงสัญญาจะซื้อขายที่ดินฉบับดังกล่าว เป็นว่าตกลงซื้อขายกันเพียง 3 ไร่ จำเลยมิใช่ฝ่ายผิดสัญญา ปัญหาสำคัญก็คือ จำเลยตกลงขายที่ดินให้โจทก์ทั้งแปลงเนื้อที่ 4 ไร่ หรือตกลงขายบางส่วนเพียง 3 ไร่ เห็นได้ว่าประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดในข้อแรกดังกล่าว ย่อมครอบคลุมไปถึงข้อต่อสู้ของจำเลยอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องแยกแยะประเด็นออกไปอีกว่า ตกลงกันใหม่ดังข้อต่อสู้ของจำเลยจริงหรือไม่ ข้อตกลงใหม่นั้น ถ้าเกิดเป็นสัญญาดังเช่นที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 361 บัญญัติไว้คำเสนอและคำสนองเช่นนั้นย่อมมีผลเปลี่ยนแปลงสัญญาจะซื้อขายที่ดินเดิมเหตุนี้ จำเลยย่อมมีสิทธินำสืบได้ตามข้อต่อสู้ เพราะเป็นการนำสืบตรงตามประเด็นแล้ว ศาลชั้นต้นวินิจฉัยรับฟังพยานหลักฐานของจำเลยชอบด้วยวิธีพิจารณาแล้ว หาได้ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 และมาตรา 104 อย่างใดไม่

ปัญหาวินิจฉัยจึงมีว่า โจทก์จำเลยตกลงกันเปลี่ยนแปลงสัญญาจะซื้อขายที่ดินเอกสารหมาย จ.1 เกี่ยวกับเนื้อที่ที่ซื้อขายกันอย่างไรหรือไม่

ตามจดหมายของจำเลยที่มีถึงโจทก์ฉบับลงวันที่ 27 มีนาคม 2502คือเอกสารหมาย จ.7 ความว่า “มันใจหายชอบกลเมื่อรู้ว่าจะขายหมดฉันตกลงใจแน่นอนว่าฉันจะขายถวิลเพียง 3 ไร่ จะเอาเหลือไว้ 1 ไร่ฉะนั้น เงินแสนหลังนี้ถวิลจะเอาไปหรือจะคืนกระทรวงก็ตามใจ ขอให้เห็นแก่ฉันเถิด และเป็นอันเงินงวดหลังนี้ฉันจะไม่ขอยอมรับเป็นอันขาด การจะแบ่งที่ดินก็แบ่งออกไปอีกทั้งหมดเป็น 3 ไร่ โดยตัดเป็นเส้นตรงจากหลังเทศบาลตรงไปถนนบางปลาม้าให้เป็นเส้นตรงไปเลยจะได้คิดง่าย ๆ ดี การแบ่งขายเช่นนี้ก็ไม่อึกทึกครึกโครมฉันรับรองด้วยเกียรติว่าจะไม่ขายใครเป็นอันขาด ถวิลรู้ไหมว่าฉันกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะเรื่องนี้ ยิ่งไปเห็นที่เข้ายิ่งร้ายใหญ่ และเป็นที่ของคุณแม่ซื้อไว้ ทีแรกก็ไม่ได้อาลัยอาวรณ์อะไร แต่พอเอาจริงเอาจังเข้า จิตใจมันก็เป็นเช่นนี้ และฉันก็ยอมรับฉันเป็นคนพูดจาไม่อยู่กระร่องกะรอย คราวนี้เป็นคราวแรก ขอยอมรับโดยชื่นตา ขอถวิลอย่าได้โต้แย้งอะไรเลย…”

จดหมายของจำเลยลงวันที่ 14 มิถุนายน 2502 ตามเอกสารหมาย จ.8มีไปถึงโจทก์อีกว่า ” ฉันก็ได้บอกเป็นเด็ดขาดแล้วว่าจะขายถวิลเพียง 3 ไร่ เหลือนั้นฉันจะต้องขอไว้ก่อน ฉันขอให้ถวิลยุติเสียทีไม่งั้นฉันก็ไม่สบายใจอยู่เรื่อย พอจะลืม ๆ ถวิลก็มาเตือนเข้าอีก ฉันเองเมื่อมาคิดย้อนหลัง ก็รู้สึกเสียใจที่ไม่ควรใจเร็วด่วนได้ ถ้าหากฉันเห็นแก่เงิน ฉันก็ขายได้เงินก้อนทั้งสี่แสนเอามาทำประโยชน์เสียเยอะแยะแล้ว แล้วก็แสนแรกกว่าจะได้จากถวิลมาก็แสนจะลำบากยากเย็น ฉันเองขอบอกตรง ๆ ว่าไม่ขายแน่ ถึงจะเป็นอย่างไรก็ยอมเพราะถวิลขอฉัน ฉันให้ แต่ฉันขอถวิล ถวิลให้ไม่ได้ ก็จะขอดูใจต่อไป ฉันก็ไม่ได้เอาไปซื้อขายใครนอกจากจะเอาไว้เป็นอนุสรณ์ ส่วนการโอนเราได้โฉนดมาเมื่อไรก็จัดการแบ่งแยกกัน ระหว่างนี้ขอให้ถวิลหาช่างรังวัดมารังวัดดูว่า 3 ไร่แค่ไหน ตัดตรงจากถนนหลังเทศบาลออกไปถนนบางปลาม้า ให้ครบ 3 ไร ที่เหลือข้างหน้าวัดปราสาทก็เป็นของฉัน หรือถวิลสามารถจะถอนโฉนดมาโอนให้ก็ดีแต่ถ้าถอนมาไม่ได้ฉันก็จะยอมเป็นนายประกันให้จนกว่าจะครบ 10 ปี ส่วน 3 ไร่ที่วัดไว้ฉันก็จะทำเป็นหนังสือโอนให้ไว้ก่อนถวิลได้ขอฉันมามากแล้ว ฉันจะกลับเป็นผู้ขอถวิลบ้าง แล้วก็เป็นส่วนน้อยนิดเดียว ใจคอถวิลจะไม่ให้เทียวหรือ และฉันขอพูดเป็นครั้งสุดท้าย ขอถวิลอย่าได้พยายามอีกเลย เป็นอันตกลงอย่างนี้ ”

ข้อความของจดหมายทั้งสองฉบับนี้ถือได้ว่าเป็นคำเสนอของจำเลยเพื่อเปลี่ยนแปลงเนื้อที่ที่ตกลงซื้อขายกันตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินเอกสารหมาย จ.1 ทั้งนี้ โดยจำเลยยืนยันเจตนาแน่วแน่ว่าจะไม่ยอมขายให้โจทก์ทั้งแปลง แต่ประสงค์จะกันเอาไว้เฉพาะตัว และเฉพาะเนื้อที่บางส่วนเพียง 1 ไร่ แท้จริงแล้วโจทก์มีสิทธิเต็มที่ในอันที่จะบอกปัดคำเสนอของจำเลยเช่นว่านั้นเสียได้ แต่โจทก์ก็ไม่ได้ตอบจดหมายบอกปัดแต่อย่างใด น่าจะเป็นเพราะโจทก์ยังนับถือและเกรงใจจำเลยอยู่มากนั่นเอง

อีกหนึ่งปีเศษต่อมา โจทก์มีจดหมายฉบับลงวันที่ 9 สิงหาคม 2503ตอบถึงจำเลยตามเอกสารที่จำเลยอ้าง หมาย ล.1 ความว่า “จดหมายของคุณทั้งหมดผมได้รับและส่งให้ยูรเขาคิดรายการเงินทุกครั้ง ผมรู้สึกว่าเป็นความบกพร่องที่ต้องทำให้คุณต้องโกรธ แต่ผมก็ทะเลาะกันไม่น้อยในเรื่องความเฉื่อยชาดังกล่าวนี้ เรื่องการแบ่งที่ผมก็อยากให้มันเสร็จยิ่งกว่าคุณอีก เพราะผมจะได้ทำอะไร ๆ ได้ ไม่ใช่ไม่อยากทำ แต่เรื่องมันมาก การขอโฉนดเราก็เคยขอ ต้องทำหนังสือผ่านทางจังหวัด ไม่ใช่มายืมได้ด้วยตนเอง ทีนี้เรื่องเก่าของผมยังไม่เสร็จ ผมรอให้เสร็จเรื่องโน้นแล้วจะขอโฉนดไปทำโอนเรื่องใหม่ โปรดเห็นความจำเป็นเช่นนี้ด้วย ผมอยากให้เสร็จจะตายไปเพราะจะได้หมดกังวลทั้งคุณด้วย” ข้อความตอนถัดไปรับรองว่าค่าที่ดินโจทก์ยังค้างชำระอยู่อีก 1,000 บาท จึงจะครบ 300,000 บาท

จดหมายของโจทก์ฉบับนี้พออนุมานได้ว่าเป็นคำสนองของโจทก์ตอบรับคำเสนอไปถึงจำเลย ทำให้เกิดเป็นสัญญาขึ้นแล้ว ยอมให้จำเลยกันเนื้อที่ในโฉนดเอาไว้ 1 ไร่ คงตกลงซื้อขายกันเพียง 3 ไร่ อันมีผลเปลี่ยนแปลงเนื้อที่ตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินตามเอกสารหมาย จ.1ไปในตัว สัญญาจะซื้อขายที่ดินตามเอกสารหมาย จ.1 คงมีผลผูกพันเป็นการตกลงซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 8526 ของจำเลยเพียง 3 ไร่จำเลยจึงมีสิทธิโอนขายเนื้อที่น้อยกว่าที่ตกลงทำสัญญากันครั้งแรกโจทก์จะขอบังคับให้จำเลยโอนขายที่ดินทั้งแปลงหาได้ไม่

พิพากษาแก้ ให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 8526 ให้โจทก์จำนวนเนื้อที่ 3 ไร่ โดยให้รังวัดแบ่งแยกกันที่ดินออกให้จำเลยเนื้อที่ 1 ไร่ ในส่วนด้านหน้าทางวัดปราสาทตัดตรงจากถนนสายหลังสำนักงานเทศบาลเมืองสุพรรณบุรี ไปจดถนนสายบางปลาม้า ที่ดินด้านหลังที่เหลืออีก 3 ไร่ ให้รังวัดเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนของโจทก์ไป ถ้าจำเลยไม่ไปจัดการโอนและนำรังวัดที่ดินให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share