คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2109/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยที่ 1นำตั๋วสัญญาใช้เงินไปขายลดแก่โจทก์ในนามจำเลยที่ 1 โดยไม่ประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 ในสัญญาขายลดตั๋วเงิน มีจำเลยที่3 ทำสัญญาค้ำประกันไว้ด้วยจำเลยที่ 1 ได้รับเงินไปจากโจทก์ตามสัญญาแล้ว และเมื่อครบกำหนดตามตั๋วสัญญาใช้เงิน จำเลยที่ 1ใช้เงินแก่โจทก์บางส่วน ดังนี้ แสดงว่าจำเลยที่ 2 ลงชื่อในสัญญาขายลดตั๋วเงินดังกล่าวในฐานะกระทำการแทนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ต้องผูกพันตามสัญญานั้น จำเลยที่ 3 ผู้ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดมีจำเลยที่ 2เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 1 นำตั๋วสัญญาใช้เงินมาขายลดแก่โจทก์ โดยมีจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกัน เมื่อถึงกำหนดเวลาชำระเงิน จำเลยที่ 1 ชำระเงินให้โจทก์บางส่วนยังค้างอยู่อีก 13,987.91 บาท ขอให้จำเลยทั้งสามชำระเงินให้โจทก์ 18,858 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 18 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 3 ให้การว่าสัญญาขายลดตั๋วเงินตามฟ้องของโจทก์ไม่ใช่สัญญาของจำเลยที่ 1 ในฐานะเป็นนิติบุคคลซึ่งได้จดทะเบียนไว้แล้วว่าจะต้องมีตราสำคัญของจำเลยที่ 1 ประทับ จึงจะผูกพันจำเลยที่ 1 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระเงินแก่โจทก์ 13,987.91บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 18 ต่อปีนับแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์2526
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าจำเลยที่ 2 นำตั๋วสัญญาใช้เงินไปขายลดแก่โจทก์ในนามของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันไว้ด้วยเมื่อครบกำหนดตามตั๋วสัญญาใช้เงิน จำเลยที่ 1 ใช้เงินแก่โจทก์บางส่วน เห็นว่า แม้สัญญาตามเอกสารหมาย จ.4 จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ลงชื่อโดยไม่ประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่1 รับเงินไปจากโจทก์ตามสัญญา เมื่อครบกำหนดตามตั๋วสัญญาใช้เงิน จำเลยที่ 1 ก็ใช้เงินแก่โจทก์บางส่วนแล้ว แสดงว่าจำเลยที่ 2 ลงชื่อในสัญญาดังกล่าวในฐานะกระทำการแทนจำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 จึงต้องผูกพันและรับผิดตามสัญญาหมาย จ.4 จำเลยที่3 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์
พิพากษายืน.

Share