แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
แม้ไม่ได้ความว่าอาวุธที่จำเลยใช้แทงทำร้ายมีขนาดเท่าใดแต่เมื่อจำเลยแทงผู้เสียหายถึงสองครั้ง ครั้งแรกถูกที่ข้อศอกขวาแล้วจำเลยแทงซ้ำอีก ผู้เสียหายปัดแขนข้างที่จำเลยถืออาวุธอาวุธของจำเลยจึงผ่านท้องมาถูกแขนซ้ายของผู้เสียหายได้รับบาดแผลและจำเลยได้แทงผู้ตายที่หน้าท้องหนึ่งครั้ง บาดแผลลึก 6 นิ้วฟุตเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย แสดงว่าอาวุธที่จำเลยใช้เป็นอาวุธที่ร้ายแรง และจำเลยตั้งใจแทงผู้เสียหายและผู้ตายที่บริเวณลำตัวอันเป็นอวัยวะสำคัญอย่างร้ายแรง จำเลยจึงมีความผิดทั้งฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายและฐานฆ่าผู้ตาย ขณะเกิดเหตุจำเลยอยู่ระหว่างศึกษาเล่าเรียน อายุเพียง 20 ปีจำเลยกระทำผิดโดยมีเจตนาเพียงช่วยพวกของจำเลยในการต่อสู้หลังเกิดเหตุ 4 วัน ก็เข้ามอบตัว และเบิกความในชั้นศาลว่าอยู่ในที่เกิดเหตุด้วยจึงเป็นการลุแก่โทษและเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาของศาล คดีมีเหตุบรรเทาโทษ ควรปรานีลดมาตราส่วนโทษและลดโทษให้จำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้มีดพกปลายแหลมเป็นอาวุธแทงพยายามฆ่านายเนรมิตรผู้เสียหาย 1 ครั้ง ถูกบริเวณข้อมือขวาเป็นบาดแผล แล้วจำเลยใช้มีดเล่มเดียวกันแทงนายชาติชายผู้ตาย1 ครั้ง โดยเจตนาฆ่า ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80,288 และ 288 (ต่างกรรม) จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า พยานหลักฐานของโจทก์ฟังได้ว่า คืนเกิดเหตุขณะที่จำเลยกับพวกฝ่ายหนึ่ง ผู้เสียหาย ผู้ตายกับพวกอีกฝ่ายหนึ่งได้เข้าชุลมุนต่อสู้กัน จำเลยบังอาจใช้อาวุธซึ่งมีลักษณะคล้ายเหล็กขูดชาฟท์ มีใบและด้ามยาวประมาณ 1 คืบ แทงผู้เสียหายถูกข้อศอกขวา แล้วจำเลยแทงซ้ำอีก ผู้เสียหายปัดแขนของจำเลยทำให้อาวุธถูกมือขวา แขนซ้ายเป็นบาดแผลได้รับบาดเจ็บแล้วจำเลยเซถลาไปจ้วงแทงนายชาติชายถูกที่บริเวณหน้าท้อง 1 ที โดยจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายและนายชาติชาย นายชาติชายถึงแก่ความตายการกระทำของจำเลยเป็นความผิดสองกรรม พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80และมาตรา 288 ลงโทษความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น วางโทษจำคุก12 ปี และฐานฆ่าผู้อื่นวางโทษจำคุก 18 ปี รวม 30 ปี จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้โจทก์จะมีผู้เสียหายปากเดียวเป็นประจักษ์พยานเบิกความยืนยันว่าจำเลยเป็นคนใช้อาวุธซึ่งมีลักษณะคล้ายกับเหล็กขูดชาฟท์แทงทำร้ายผู้เสียหายและผู้ตาย แต่ผู้เสียหายก็รู้จักกับจำเลยหรือพวกของจำเลยมาก่อนโดยเฉพาะบริเวณที่เกิดเหตุมีแสงสว่างจากไฟฟ้าสามารถเห็นกันได้ชัดแจ้ง และตามข้อเท็จจริงซึ่งได้ความจากคำเบิกความของพันตำรวจตรีสงครามพยานโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนว่า เมื่อพยานได้ทราบเหตุแล้ว พยานได้ไปพบผู้เสียหายและผู้ตาย แสดงให้เห็นว่าผู้เสียหายเห็นเหตุการณ์อย่างชัดแจ้งและจำได้แม่นยำว่าจำเลยเป็นคนใช้อาวุธแทงทำร้ายผู้เสียหายและผู้ตาย มิฉะนั้นผู้เสียหายคงไม่แจ้งระบุชื่อจำเลยต่อพนักงานสอบสวนในทันทีเป็นเหตุให้พนักงานสอบสวนออกหมายจับจำเลยในวันที่ 21 ตุลาคม 2527นั้นเอง คำของผู้เสียหายดังกล่าวมีนายอาทร จันทร พยานโจทก์อีกปากหนึ่งซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุให้การชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย ป.จ.1 ยืนยันต้องคำกันกับผู้เสียหายว่าพยานเห็นจำเลยเป็นคนใช้มีดแทงผู้เสียหายและผู้ตาย แม้ในชั้นศาลพยานปากนี้จะเบิกความไม่ตรงกับคำให้การชั้นสอบสวนโดยเบิกความว่า พยานเห็นแต่คนหมู่บ้านหมากยางใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงทำร้ายผู้เสียหายและผู้ตายและจำไม่ได้ว่าเป็นใครก็ตาม แต่ปรากฏว่าพยานให้การในชั้นสอบสวนในระยะกระชั้นชิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีเหตุอื่นจูงใจและให้การด้วยความสมัครใจ น่าเชื่อว่าคำให้การชั้นสอบสวนเป็นความจริงยิ่งกว่าคำเบิกความชั้นศาล คำให้การชั้นสอบสวนของพยานย่อมสนับสนุนคำของผู้เสียหายให้มั่นคงยิ่งขึ้นส่วนกรณีที่นายอาทรพยานโจทก์เบิกความไม่ตรงกับคำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวและนายวชิระ บุญปัญญา พยานโจทก์อีกปากหนึ่งซึ่งร่วมในการชุลมุนต่อสู้แต่เบิกความปฏิเสธว่า พยานมิได้อยู่ในที่เกิดเหตุนั้น เป็นกรณีที่พยานเลี่ยงข้อเท็จจริงบางส่วนโดยไม่ประสงค์จะให้ตัวเองพัวพันกับคดี ไม่ใช่เป็นการเบิกความอย่างตรงไปตรงมาไม่มีผลทำให้คำเบิกความของผู้เสียหายเสียไปข้อที่จำเลยฎีกาว่าผู้เสียหายเองก็ไม่ทราบตัวผู้กระทำผิดที่แท้จริง การที่ผู้เสียหายกล่าวหาจำเลยก็เพื่อให้มีผู้รับผิดเท่านั้น ศาลฎีกาเห็นว่า หากเป็นกรณีที่ผู้เสียหายแกล้งปรักปรำจำเลยดังกล่าวผู้เสียหายก็น่าจะแกล้งปรักปรำนายคำพวกของจำเลยซึ่งเป็นตัวการก่อให้เกิดการกระทำผิดคดีนี้ ไม่มีเหตุผลที่จะกลั่นแกล้งจำเลยคนเดียว พยานหลักฐานของโจทก์มั่นคง ฟังได้ว่าจำเลยได้ใช้อาวุธซึ่งมีลักษณะคล้ายกับเหล็กขูดชาฟท์แทงทำร้ายผู้เสียหายและผู้ตาย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายและผู้ตายหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงจะไม่ได้ความชัดว่าอาวุธซึ่งจำเลยใช้แทงผู้ร้ายผู้เสียหายและผู้ตายมีขนาดกว้างยาวเท่าใด แต่ตามพฤติการณ์ได้ความว่า เมื่อจำเลยแทงผู้เสียหายสองครั้ง ครั้งแรกถูกที่ข้อศอกขวาแล้วจำเลยแทงซ้ำอีกผู้เสียหายปัดแขนจำเลยข้างที่ถืออาวุธแต่อาวุธของจำเลยถูกแขนขวาผู้เสียหายผ่านท้องมาถูกแขนซ้ายจนผู้เสียหายได้รับบาดแผลที่แขนซ้ายแล้วจำเลยเสียหลักเซถลาไป และจำเลยใช้ช่วงเวลานี้แทงผู้ตายซึ่งเข้ามาในที่เกิดเหตุภายหลังที่หน้าท้องหนึ่งครั้งเป็นบาดแผลลึกถึง 6 นิ้วฟุต เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายแสดงให้เห็นว่าอาวุธที่จำเลยใช้เป็นอาวุธที่ร้ายแรงและจำเลยตั้งใจแทงผู้เสียหายและผู้ตายทั้งสองคนโดยเจตนาแทงที่บริเวณลำตัวอันเป็นอวัยวะสำคัญ เป็นการแทงอย่างแรง มิได้ยั้งมือจำเลยจึงมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายและผู้ตาย จำเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง
ข้อที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษในสถานเบานั้น ศาลฎีกาเห็นว่าในขณะเกิดเหตุจำเลยอยู่ในระหว่างศึกษาเล่าเรียน อายุเพียง 20 ปีการกระทำผิดของจำเลยมีเจตนาเพียงเพื่อช่วยเหลือพวกของจำเลยซึ่งเป็นคนหมู่บ้านเดียวกันในการต่อสู้กัน มิใช่จำเลยเกะกะระรานหรือหาเหตุเพื่อรังแกผู้อื่นก่อน หลังจากเกิดเรื่องแล้ว 4 วันก็เข้ามอบตัวให้เจ้าพนักงานตำรวจดำเนินคดีแต่โดยดีมิได้หลบหนีและเบิกความในชั้นพิจารณาว่าอยู่ในที่เกิดเหตุด้วยอันเป็นการลุแก่โทษและเบิกความเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาของศาลคดีมีเหตุบรรเทาโทษ จึงสมควรปรานีลดมาตราส่วนโทษและลดโทษให้จำเลย อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลย 1 ใน 3ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ในความผิดฐานพยายามฆ่าวางโทษจำคุก 8 ปี และในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นวางโทษจำคุก 12 ปีรวมจำคุก 20 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 4 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุกจำเลย 15 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์