คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2099/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีรับของโจร คำของจำเลยที่ 1 บอกตำรวจว่าซื้อของกลางจากจำเลยที่ 2 เป็นคำบอกเล่าและคำซัดทอดระหว่างผู้ร้ายฟังยันจำเลยที่ 2 มิได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างเวลาพระอาทิตย์ตกของวันที่ 4 เมษายน ถึงเวลาพระอาทิตย์ขึ้นของวันที่ 5 เมษายน 2497 ซึ่งเป็นเวลากลางคืนตามกฎหมาย ได้มีคนร้ายลักเอาเหล็กลวดสายบัว 14 ท่อนและน๊อตเหล็ก 25 อัน รวมราคาทั้งสิ้น 1,462.50 บาท ของกรมชลประทานซึ่งอยู่ในความดูแลรักษาของนายคำสอน วุฒิชัย ไป เหตุเกิดที่ตำบลบ้านตึก อำเภอศรีสัชชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ต่อมาวันที่ 18 พฤษภาคม 2497 เวลากลางวัน เจ้าพนักงานจับตัวจำเลยทั้งสองได้และจับได้เหล็กลวดสายบัว 14 ท่อน น๊อตเหล็ก 25 อัน ซึ่งถูกคนร้ายลักไปดังกล่าวแล้วนั้น ได้จากบ้านของนายห้อง จำเลย ทั้งนี้โดยตามวันเวลาดังกล่าว จำเลยทั้งสองได้สมคบกันลักเอาเหล็กลวดสายบัว 14 ท่อน และน๊อตเหล็ก 25 อัน ของกลางนั้นไป หรือมิฉะนั้นตามวันและเวลาดังกล่าวแล้วในข้อ 1 ถึงวันที่ 18 พฤษภาคม 2497 เวลากลางวันและกลางคืนตลอดมา จำเลยทั้งสองบังอาจสมคบกันรับเอาเหล็กลวดสายบัว 14 เส้น และน๊อตเหล็ก 25 อันนั้นไว้จากคนร้ายโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของร้ายที่ได้มาโดยการกระทำผิดกฎหมายขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 293, 294, 321 และขอให้คืนของกลางแก่เจ้าทรัพย์

นายห้อง เรืองฤทธิ์ จำเลยให้การรับสารภาพว่า ได้ซื้อเหล็กและน๊อตของกลางไว้จากนายอ่อง จำเลยที่ 2 โดยรู้ว่าเป็นของร้ายที่ได้มาจากการกระทำผิดกฎหมายจริง

นายอ่อง ละอองทรง จำเลยให้การปฏิเสธ

ทางพิจารณาได้ความว่า เหล็กของกลางได้เก็บรักษาไว้ในห้องพัสดุซึ่งนายคำสอน วุฒิชัย เป็นผู้เก็บรักษา ครั้นวันที่ 5 เมษายน 2497 ตอน 7 น. นายคำสอนไปตรวจดูสิ่งของในห้องพัสดุปรากฏว่าเหล็กลวดสายบัวหายไป14 เส้น และเหล็กน๊อตหายไป 25 อันจึงไปแจ้งต่อนายสวาทผู้ใหญ่บ้านไว้ ต่อมาวันที่ 18 พฤษภาคม 2497 นายสวาทไปบอกนายคำสอนว่าจับของกลางได้แล้ว นายคำสอนจึงไปดูจำได้ว่าเป็นเหล็กของกลางที่หายไป และได้รับคืนไปแล้ว

ส่วนใครจะเป็นคนร้ายรายนี้ โจทก์นำนายเหลือมาสืบว่าคืนเกิดเหตุเวลาหัวค่ำ จำเลยที่ 1 ไปหานายเหลือที่บ้านวานให้ช่วยขนของขึ้นบรรทุกล้อ นายเหลือก็ไปกับจำเลยที่ 1 เห็นเหล็กเส้น2 มัด และเหล็กน๊อต 1 มัดวางอยู่ที่พื้นดินข้างล้อเทียมด้วยกระบือจำเลยที่ 2 ยืนอยู่ข้างล้อ จำเลยที่ 1-2 และนายเหลือก็ช่วยกันยกเหล็กเส้นขึ้นใส่ล้อแล้วนายเหลือก็กลับบ้าน นอกจากนี้โจทก์นำนายสวาทผู้ใหญ่บ้านผู้สืบสวนและเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับมาสืบประกอบ

จำเลยที่ 2 นำสืบว่า จำเลยที่ 1 ไปตามที่บ้านให้ช่วยขนของขึ้นล้อ จำเลยที่ 2 ก็ไปช่วยขนเหล็กขึ้นล้อ นายเหลือก็ช่วยอยู่ด้วย เมื่อขนเสร็จแล้วจำเลยที่ 2 ก็กลับบ้าน

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า จำเลยทั้งสองรับทรัพย์ของกลางไว้ โดยรู้อยู่ว่าเป็นของร้ายซึ่งได้มาจากการทำผิดกฎหมายมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 321 ให้จำคุกจำเลยไว้คนละ 6 เดือนจำเลยที่ 1 รับสารภาพ ปรานีลดโทษกึ่งหนึ่งตาม มาตรา 59 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 3 เดือนของกลางคืนเจ้าของ

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า หลักฐานพยานโจทก์ยังไม่พอฟังจะลงโทษจำเลยที่ 2 ได้จึงพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องปล่อยตัวจำเลยที่ 2 ไปนอกนั้นพิพากษายืน

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2

ศาลฎีกาประชุมปรึกษาคดีแล้ว คดีที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 โจทก์คงมีแต่นายเหลือปากเดียวว่า เมื่อเดินตามจำเลยที่ 1 ไปถึงทางสามแพร่งที่กองเหล็กของกลางอยู่ห่างโรงเก็บพัสดุราว 4 เส้นเห็นจำเลยที่ 2 ยืนอยู่ข้างล้อ ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 แสดงตนว่าเป็นผู้ขายเหล็กของกลางให้จำเลยที่ 1 แต่อย่างใด นายเหลือถามจำเลยที่ 2 ว่า มานานแล้วหรือจำเลยที่ 2 ก็ว่าเพิ่งมาเดี๋ยวนี้แสดงว่าจำเลยที่ 2 ก็ถูกจำเลยที่ 1 ตามมาอย่างนายเหลือเช่นเดียวกันและจำเลยที่ 1 บอกนายเหลือว่า เหล็กนี้เอามาจากบางโพธิ์อุตรดิตถ์ แล้วทั้ง 3 คนก็ช่วยกันขนเหล็กขึ้นล้อ นอกจากนี้โจทก์มีนายสิบตำรวจตรี สนาม ผู้จับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 บอกนายสิบตำรวจสนามว่าซื้อเหล็กของกลางมาจากจำเลยที่ 2 ก็เป็นแต่คำบอกเล่าทั้งเป็นคำซัดทอดระหว่างจำเลยด้วยกัน จะฟังมาใช้ยันจำเลยที่ 2 มิได้ หลักฐานโจทก์ตามท้องสำนวนยังห่างไกลที่จะฟังเอาพิรุธแก่จำเลยยังไม่ถนัด ดังความเห็นของศาลอุทธรณ์ชี้ขาดมาแล้ว

จึงพิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์

Share