แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสามเป็นหนี้โจทก์คดีนี้ก็เนื่องจากจำเลยทั้งสามรับสภาพหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมที่พิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีเดิมนั้นเอง แต่การรับสภาพหนี้ไม่ก่อให้เกิดหนี้ใหม่ขึ้นแต่ประการใด คงมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลงเท่านั้น ประเด็นที่จะต้องพิจารณาวินิจฉัยในคดีนี้ จึงเนื่องมาจากมูลฐานที่จำเลยทั้งสามเป็นหนี้โจทก์ตามสัญญากู้ยืมเงินซึ่งในคดีเดิมได้วินิจฉัยมาแล้ว การที่โจทก์นำมูลหนี้เดียวกันมาฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้อีกจึงเป็นฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามตกลงประนีประนอมยอมความกับโจทก์ว่าจำเลยทั้งสามเป็นหนี้โจทก์ ตกลงแบ่งชำระเป็น 2 งวด ครบกำหนดจำเลยทั้งสามไม่ชำระ ต่อมาจำเลยทั้งสามตกลงทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ต่อโจทก์ แล้วก็ไม่ชำระอีกขอศาลบังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้จำนวน 138,225 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยชำระให้โจทก์แล้ว 25,400 บาท ส่วนที่ยังไม่ชำระอีก 20,000 บาท ให้จำเลยที่ 3 เป็นผู้ชำระ โดยได้ทำบันทึกไว้เป็นหลักฐาน
จำเลยที่ 2 ให้การว่า หนังสือรับสภาพหนี้ตามฟ้อง เป็นนิติกรรมอำพรางสัญญาประนีประนอมยอมความตกเป็นโมฆะ อีกทั้งโจทก์มิได้บังคับคดีภายใน 10 ปี ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 มิได้ลงชื่อในหนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ทำไว้กับโจทก์ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน138,225 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีในต้นเงิน55,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่าเดิมโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามให้ชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินแล้วโจทก์และจำเลยทั้งสามได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมให้จนคดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้ คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีเดิมหรือไม่ และที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1ยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยเองชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ปัญหาประการแรกนั้น ได้ความตามคำเบิกความของโจทก์ว่าจำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีเดิมต่อมาจำเลยทั้งสามได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ต่อโจทก์โดยกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ด้วย ครั้นครบกำหนดจำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้ดังกล่าวหลังจากนั้น จำเลยทั้งสามชำระหนี้ให้โจทก์บ้างบางส่วน แล้วต่อมาจำเลยทั้งสามทำหนังสือรับสภาพหนี้จำนวนหนี้ส่วนที่เหลือไว้ต่อโจทก์อีกโดยกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ด้วย ก่อนครบกำหนดจำเลยทั้งสามชำระหนี้ให้โจทก์อีกบางส่วนและตกลงกับโจทก์เลื่อนกำหนดเวลาชำระหนี้ส่วนที่เหลือออกไปอีก เมื่อครบกำหนดจำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้ให้อีกเลย โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ เห็นว่าที่จำเลยทั้งสามเป็นหนี้โจทก์คดีนี้ก็เนื่องมาจากจำเลยทั้งสามรับสภาพหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมที่พิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีเดิมนั่นเอง โดยมีการหักจำนวนหนี้ที่จำเลยทั้งสามชำระให้โจทก์บ้างแล้วออกไปและรวมดอกเบี้ยตามระยะเวลาที่ค้างชำระเข้าไปด้วยเท่านั้น แต่การรับสภาพหนี้ไม่ก่อให้เกิดหนี้ใหม่ขึ้นแต่ประการใด คงมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลงเท่านั้นประเด็นที่จะต้องพิจารณาวินิจฉัยในคดีนี้จึงเนื่องมาจากมูลฐานที่จำเลยทั้งสามเป็นหนี้โจทก์ตามสัญญากู้ยืมเงินซึ่งในคดีเดิมได้วินิจฉัยมาแล้ว การที่โจทก์นำมูลหนี้เดียวกันมาฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้อีกจึงเป็นฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องก็ต้องยกฟ้อง
ปัญหาประการหลังนั้น เห็นว่าอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลย่อมมีอำนาจยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาคดีไปได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) โดยไม่จำต้องมีคู่ความฝ่ายใดยกปัญหาดังกล่าวขึ้นมาอ้างอิงแต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาคดีไปนั้นชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวแล้ว ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์จึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน