คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2094/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเข้ามาทำงานกับโจทก์ และรับสินค้าจากโจทก์ไปจำหน่ายแล้วยังไม่ชำระค่าสินค้านั้น จำเลยอ้างว่าเป็นหุ้นส่วนกับโจทก์ เป็นหน้าที่จำเลยต้องสืบว่าจำเลยเป็นหุ้นส่วนกับโจทก์ มิฉะนั้นจำเลยต้องใช้ราคาให้โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของร้านชื่อบริษัทศรีชัย ทำการค้าเครื่องสำอางค์และสินค้าอื่น ๆ จำเลยได้ซื้อเชื่อสินค้าประเภทเครื่องสำอางค์หลายอย่างไปจากโจทก์ 2 ครั้ง รวมเป็นเงิน 12,720 บาท ผัดว่าจะชำระใน 3 เดือน จำเลยได้ชำระให้เพียง 1,899 บาทส่วนที่เหลือ 10,821 บาท จำเลยหาชำระให้โจทก์ไม่ โจทก์ได้ทวงถามแล้ว จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยใช้เงินจำนวนนั้นกับดอกเบี้ย

จำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์กับจำเลยเข้าหุ้นส่วนกันตั้งบริษัทศรีชัย จำเลยมีตัวยาที่คิดขึ้นได้และทรัพย์สินอื่นกับเงินสดรวมราคาประมาณ 30,170 บาท มาเข้าหุ้น ฝ่ายโจทก์ออกสถานที่และเงินสดบ้าง จำเลยได้รับสินค้าตามบัญชีท้ายฟ้องของโจทก์ไปจำหน่ายจริง ต่อมาจำเลยเห็นว่าตั้งแต่เป็นหุ้นกันมา โจทก์ไม่ได้แสดงหลักฐานการเงินให้จำเลยทราบ จำเลยจึงขอให้โจทก์ชำระบัญชีเพื่อเลิกกิจการค้าและจะได้หักหนี้สินระหว่างหุ้นส่วนกัน โจทก์กลับบิดพริ้วไม่ยอมชำระบัญชี ฉะนั้นเมื่อยังไม่มีการชำระบัญชีกันโจทก์จะนำบัญชีสินค้าที่จำเลยรับไปมาฟ้องเรียกเงินจากจำเลยไม่ได้ทั้งสินค้าที่จำเลยรับไปตามบัญชีท้ายฟ้องก็มิใช่เป็นเรื่องที่จำเลยซื้อเชื่อดังโจทก์ฟ้อง

ศาลแพ่งทำการพิจารณาแล้ว เห็นว่า ตามเหตุผลพอฟังได้ว่าจำเลยเข้ามาทำการค้าขายร่วมกับโจทก์เป็นการเข้าหุ้นร่วมกับโจทก์สินค้าที่จำเลยรับไปตามเอกสารหมาย จ.2 จ.3 นั้น จึงยังเป็นของรวมกันอยู่ เมื่อยังไม่ได้ชำระบัญชีกันโจทก์ก็ยังไม่มีสิทธิที่จะเรียกให้จำเลยใช้ในขณะนี้ได้ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ฟังว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นได้ความว่า เดิมจำเลยเป็นหุ้นส่วนขายยาฆ่าเหา บีแบรนด์ กับนายเกรียง ค้าขายอยู่ 3, 4 เดือน ก็เลิกหุ้นส่วนกัน คิดบัญชีกันแล้ว นางเพ็ญ พี่สาวนายเกรียงยอมให้จำเลยรับตู้โชว์สินค้า 2 ตู้ ยาบีแบรนด์ที่เหลืออยู่ กับใบรับสินค้าที่ลูกค้าเป็นหนี้อยู่ประมาณ 6,000 บาท ไป แต่จำเลยจะต้องคืนเงินค่าหุ้น 6,000 บาทให้แก่นายเกรียง จำเลยไม่มีเงินจึงได้ไปขอร้องนายบุญช่วยให้ช่วยเหลือ นายบุญช่วยแนะนำให้ไปหานายสะอาดโจทก์ โจทก์ได้ออกเงิน6,000 บาท ใช้หนี้ให้แก่นายเกรียงไป

ตอนนี้คู่ความโต้เถียงกัน คือจำเลยว่า โจทก์ออกเงิน 6,000 บาทเพื่อซื้อหุ้นของนายเกรียง และจำเลยได้มอบบัญชีเงินเชื่อที่ลูกค้าเป็นหนี้อยู่ให้แก่นายสะอาด โจทก์ เป็นค่าหุ้นด้วย ฝ่ายโจทก์ว่าได้ให้เงิน 6,000 บาท เพื่อจำเลยจะได้มาทำงานโฆษณาขายของให้แก่บริษัทของโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ถ้าจำเลยมาเข้าหุ้นกับโจทก์จริง จำเลยก็ชอบจะนำเงินมาเข้าหุ้นกับโจทก์เพราะโจทก์มีร้านค้าอยู่แล้ว เหตุใดโจทก์จะต้องเอาเงิน6,000 บาท ให้แก่จำเลยอีก เพราะทรัพย์ที่จำเลยนำมาก็มีราคาเพียงเล็กน้อยไม่มีราคาเกินกว่า 6,000 บาท ส่วนใบรับของที่จำเลยอ้างว่าได้นำมามอบให้แก่โจทก์เป็นค่าหุ้นด้วยนั้น นางเพ็ญ พยานจำเลยเบิกความว่ายังคงอยู่ที่พยาน จำเลยยังไม่ได้รับไปเพราะฉะนั้นที่จำเลยว่าเอาใบรับสินค้าที่ลูกค้าเป็นหนี้อยู่มาเข้าหุ้นด้วยจึงฟังไม่ได้ นอกจากตัวจำเลยแล้วไม่มีพยานคนใดรู้เห็นว่าจำเลยเป็นหุ้นส่วนกับโจทก์ มีแต่พยานบอกเล่าทั้งนั้น

อนึ่งโจทก์กับจำเลยไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ถ้าเป็นหุ้นส่วนกันจริงก็น่าจะทำหลักฐานกันไว้ว่า หุ้นของใครมีเท่าไรเพื่อประโยชน์แก่การแบ่งปันเงินปันผล หรือคืนทุนเมื่อเลิกหุ้นกันแต่เรื่องนี้จำเลยว่าโจทก์จะลงทุนเท่าใดจำเลยก็ไม่ทราบแน่หุ้นส่วนจะเป็นหนี้ใครบ้างจำเลยก็ไม่ทราบ ดูผิดวิสัยแห่งการเป็นหุ้นส่วนกัน

ที่จำเลยอ้างว่าได้เป็นฝ่ายนำตำรับและตัวยาที่คิดขึ้นได้มาเข้าหุ้นด้วยนั้นได้ความจากนายบุญช่วย เลขานุการห้าง วิลลิช เอช.เบิ้ดอินคอปอเรเต็ด ว่า ยาฆ่าเหาบีแบรนด์ไม่ใช่ยาที่จำเลยคิดขึ้น หากแต่เป็นยาสำเร็จรูปมาจากต่างประเทศ ซึ่งห้างวิลลิชเอช เบิ้ด อินคอปอเรเต็ด เป็นผู้แทน เมื่อ พ.ศ. 2490 ก่อนที่จำเลยจะไปอยู่กับโจทก์ จำเลยเคยไปซื้อยาบีแบรนด์จากห้างวิลลิช เบิ้ด มาแบ่งใส่ซองขาย เมื่อจำเลยไปอยู่กับโจทก์แล้วโจทก์เป็นผู้ซื้อยาบีแบรนด์ไปขาย เพราะฉะนั้นจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้คิดยาบีแบรนด์ขึ้น ส่วนยาสระผม ดี.ดี. นั้น จำเลยเองเบิกความรับว่า เมื่อตอนเข้าหุ้นกับนายเกรียงนั้นยังไม่ได้ทำขึ้น ประกอบกับนางเพ็ญ พยานจำเลยว่า จำเลยเข้าหุ้นกับนายเกรียงขายยาบีแบรนด์อย่างเดียวเท่านั้น เพิ่งจะมาขายยาดี.ดี. ตอนไปอยู่กับโจทก์ ซึ่งขณะนี้โจทก์กับจำเลยกำลังเป็นความแย่งสิทธิในเครื่องยา ดี.ดี. กันอยู่ โดยโจทก์หาว่าจำเลยเลียนแบบยา ดี.ดี. ของโจทก์ ชั้นนี้จึงยังชี้ขาดไม่ได้ว่ายา ดี.ดี. เป็นของใคร

เมื่อจำเลยไม่มีทรัพย์มาลงหุ้น หากจะฟังไปในทางที่ว่าจำเลยมีคุณวุฒิทางปรุงยา โจทก์จึงรับเข้าเป็นหุ้นก็ไม่ถนัดเพราะจำเลยมิได้รับอนุญาตให้ปรุงยาได้ จำเลยมีใบอนุญาตแต่ให้ขายยาเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ที่โจทก์อ้างว่าออกเงินใช้หนี้แทนจำเลย6,000 บาท เพื่อให้จำเลยมาขายยาของโจทก์ในต่างจังหวัดโดยให้เงินเดือนจำเลยเดือนละ 400 บาท และค่าเบี้ยเลี้ยงวันละ 25 บาท จึงดูสมเหตุผลมากกว่า

คำขอจดทะเบียนพาณิชย์ก็ดี หนังสือคู่มือรับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าก็ดี มีชื่อโจทก์เป็นเจ้าของแต่ผู้เดียวจำเลยไม่คัดค้านโต้แย้งแต่อย่างใด จนกระทั่งจำเลยออกจากร้านโจทก์ไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2494 และจนถึงเกิดคดีเรื่องนี้จำเลยก็มิได้ฟ้องร้องขอแบ่งหุ้นจากโจทก์

หลักฐานพยานฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นหุ้นส่วนกับโจทก์ข้อเท็จจริงฟังตามคำพยานโจทก์ว่าจำเลยเป็นลูกจ้างของโจทก์จำเลยได้รับสินค้าตามบัญชีท้ายฟ้องไปจำหน่ายแล้วยังชำระราคาไม่ครบ จำเลยจึงต้องรับผิดศาลอุทธรณ์จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยชำระเงิน 10,821 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับแต่เดือนพฤศจิกายน 2494 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวน ประชุมปรึกษาคดีแล้ว เห็นว่าข้อเท็จจริงแห่งคดีได้ความว่า โจทก์เป็นเจ้าของร้านค้าซึ่งมีนามว่าบริษัทศรีชัย ภายหลังจำเลยเข้าไปทำงานอยู่ด้วย ปรากฏว่าจำเลยรับสินค้าจากร้านไปทำการจำหน่ายทางสายน้ำและชำระเงินค่าของนั้นมาบ้างแล้ว ยังคงค้างอยู่ตามที่โจทก์ฟ้องเรียกจำเลยต่อสู้คดีว่าจำเลยเป็นหุ้นส่วนอยู่ด้วยจึงยังไม่ต้องชำระราคาค่าของนั้นจนกว่าจะได้มีการชำระบัญชี จึงเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องพิสูจน์ว่า โจทก์ได้ตกลงเข้ากันกับจำเลย เพื่อกระทำกิจการร่วมกันด้วยประสงค์จะแบ่งปันกำไรอันจะพึงได้แก่กิจการที่ทำนั้นศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบ ยังแสดงไม่ได้ว่าโจทก์ได้ตกลงเข้าหุ้นส่วนกับจำเลย พฤติการณ์ที่จำเลยไปแสดงแก่ผู้อื่นหาอาจผูกพันโจทก์อย่างใดไม่ และเท่าที่จำเลยนำสืบก็ฟังได้แต่เพียงว่า จำเลยได้กระทำกิจการเพื่อบริษัทศรีชัยอันเป็นของโจทก์อย่างมากก็เป็นเพียงผู้จัดการ ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยว่าพยานหลักฐานจำเลยฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นหุ้นส่วนกับโจทก์ ตามเหตุผลที่ศาลอุทธรณ์ได้ยกขึ้นวินิจฉัยไว้แล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้นให้ยกเสียโดยศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยเสียค่าทนายความในชั้นนี้อีก 150 บาท แทนโจทก์ด้วย

Share