คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2093/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ 2,338,295.06บาท แต่ตอนพิพากษา กลับพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 1,338,295.06บาท แก่โจทก์แสดงให้เห็นว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นมีข้อผิดพลาดหรือผิดหลง แม้โจทก์จะมิได้อุทธรณ์โดยตรงว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นมีข้อผิดพลาดหรือผิดหลงเกี่ยวกับจำนวนหนี้ดังกล่าว แต่โจทก์ได้อุทธรณ์ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ในต้นเงินจำนวน2,478,103.24 บาท ไม่ใช่จำนวนเงิน 1,338,295.06 บาท ถือได้ว่าโจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในข้อผิดพลาดและข้อผิดหลงแล้วที่ศาลอุทธรณ์ยังคงพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน1,338,295.06 บาท จึงไม่ถูกต้อง ที่ถูกจะต้องพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 2,338,295.06 บาท แก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ตกลงยินยอมให้จำเลยที่ 1 กู้เบิกเงินเกินบัญชีโดยมีจำเลยที่ 2 ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์แทนจำเลยที่ 1 เมื่อโจทก์ทวงถาม หลังจากจำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไปแล้วมีการเบิกเงินและนำเงินเข้าบัญชีเพื่อหักทอนบัญชีเป็นคราว ๆ ตลอดมาจนกระทั่งจำเลยที่ 1 ไม่นำเงินมาเข้าบัญชีเพื่อลดยอดหนี้ โจทก์บอกกล่าวให้ชำระหนี้และบอกเลิกสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี จำเลยทั้งสองทราบหนังสือของโจทก์แล้วเพิกเฉย ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 2,478,103.24 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 1 ไม่เคยเป็นหนี้โจทก์ฟ้องของโจทก์ในส่วนดอกเบี้ยและยอดหนี้เคลือบคลุมขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์ หนังสือสัญญาค้ำประกันไม่สมบูรณ์เพราะไม่ได้จัดพิมพ์ขึ้นโดยใช้แบบพิมพ์ของโจทก์และในสัญญาไม่มีผู้มีอำนาจทำการแทนโจทก์ลงชื่อเป็นผู้รับสัญญา ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 1,338,295.06 บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ยกฟ้องจำเลยที่ 2
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน1,338,295.06 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ ให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยเห็นว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ยังเป็นหนี้โจทก์ 2,338,295.06 บาท แต่ในตอนพิพากษากลับพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 1,338,295.06 บาท แก่โจทก์แสดงให้เห็นว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นมีข้อผิดพลาดหรือผิดหลงแม้โจทก์จะมิได้อุทธรณ์โดยตรงว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นมีข้อผิดพลาดหรือผิดหลงเกี่ยวกับจำนวนหนี้ดังกล่าว แต่โจทก์ก็ได้อุทธรณ์ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ในต้นเงินจำนวน 2,478,103.24 บาทไม่ใช่จำนวนเงิน 1,338,295.06 บาท จึงถือได้ว่าโจทก์ได้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในข้อผิดพลาดและข้อผิดหลงแล้ว ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ยังคงพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน1,338,295.06 บาท ให้แก่โจทก์จึงไม่ถูกต้อง ที่ถูกจะต้องพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 2,338,295.06 บาท ให้แก่โจทก์ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน2,338,295.06 บาท ให้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share