แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ร้องยื่นคำแถลงต่อศาลว่า ศาลมีคำสั่งให้จำเลยขนย้ายเครื่องจักรออกจากที่ดินที่ผู้ร้องซื้อจากการขายทอดตลาดของศาลครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ขนย้าย ผู้ร้องจึงทำการขนย้ายเครื่องจักรออกไปฝากคลังสินค้า โดยผู้ร้องเสียค่าใช้จ่ายและค่าเช่าโกดังขอให้จำเลยชำระ ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยปฏิบัติ แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำสั่งศาลชั้นต้นให้ผู้ร้องรับผิดค่าใช้จ่ายในการขนย้ายเครื่องจักรและค่ารักษาที่ฝากคลังสินค้าถึงวันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ส่วนค่ารักษาเครื่องจักรนับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ถึงวันรับเครื่องจักรคืนจากคลังสินค้าให้จำเลยรับผิดคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวเป็นการบังคับผู้ร้องและจำเลยให้ต้องรับผิดปฏิบัติตามคำสั่งและคำพิพากษาแต่ปรากฏว่าผู้ร้องเป็นผู้ซื้อที่ดินได้จากการขายทอดตลาดของศาลหาใช่เป็นผู้มีอำนาจขอให้บังคับจำเลยได้ไม่ เพราะผู้ร้องมิใช่คู่ความหรือบุคคลผู้เป็นฝ่ายชนะ (เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) แต่เป็นบุคคลภายนอกคดีไม่มีสิทธิบังคับคดีในคดีนี้ได้ เมื่อมีข้อโต้แย้งสิทธิเกิดขึ้นระหว่างผู้ร้องกับจำเลย ผู้ร้องก็ชอบที่จะฟ้องจำเลยเป็นคดีต่างหากจากคดีเดิมจะใช้สิทธิขอบังคับจำเลยในคดีนี้ไม่ได้ ศาลชอบที่จะยกคำแถลงของผู้ร้องเสียแต่ต้นเมื่อตามกฎหมายผู้ร้องไม่มีอำนาจขอให้ศาลบังคับจำเลยในคดีนี้ได้แล้ว แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาในข้อที่ศาลอุทธรณ์ให้ต้องรับผิดก็ตาม กรณีเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยให้จำเลยไม่ต้องรับผิดได้
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากจำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงได้ยึดที่ดินพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างของจำเลยขายทอดตลาดเพื่อเอาเงินชำระหนี้ผู้ร้องเป็นผู้ประมูลซื้อได้เมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๑๔ ต่อมาวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๑๔ ผู้ร้องร้องต่อศาลชั้นต้นว่าจำเลยยังไม่ได้ขนย้ายเครื่องจักรของจำเลยออกไปจากที่ดินที่ผู้ร้องซื้อทอดตลาดได้นั้นและโอนเป็นของผู้ร้องแล้ว ขอให้ศาลเรียกจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ มาสอบถาม วันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๑๔ ศาลชั้นต้นสอบถามจำเลยที่ ๒ แถลงว่าได้ยื่นอุทธรณ์ว่าการขายทอดตลาดเป็นโมฆะไว้แล้วขอให้รอศาลอุทธรณ์ตัดสินก่อนหรือมิฉะนั้นขอเวลาขนย้าย ๕ เดือน ผู้ร้องแถลงว่าจำเลยจงใจที่จะไม่รื้อถอนเครื่องจักรออกไป ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่า ให้จำเลยรื้อถอนเครื่องจักรออกจากที่ดินของผู้ร้องภายในวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๑๔ และห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินของผู้ร้องต่อไป หากพ้นกำหนดไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องจะได้พิจารณาออกหมายจับหรือกำหนดการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อมาวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๑๔ จำเลยที่ ๑ที่ ๒ ร้องว่าไม่อาจขนย้ายออกไปภายในกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นขอเวลารื้อถอนไปอีก ๔ เดือน และวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๑๔ ผู้ร้องร้องว่า จำเลยที่ ๒ไม่ขนย้ายเครื่องจักรออกไปกลับขนของและบริวารเข้าไปทำงานในโรงงานและที่ดินของผู้ร้อง ขอให้ออกหมายจับจำเลยที่ ๒ และบริวารมากักขังจนกว่าจะปฏิบัติตามคำสั่งศาล ศาลชั้นต้นเห็นว่าศาลได้กำหนดเวลาให้จำเลยขนย้ายเครื่องจักรออกจากที่ดินของผู้ร้องภายในวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๑๔ ครบกำหนดก็ไม่ออก ศาลได้เลื่อนเวลานัดพร้อมมาอีก ๒ นัดจนถึงวันนัดพร้อมนี้ จำเลยก็ยังไม่ขนย้ายออกไปจึงให้จำเลยขนย้ายเครื่องจักรออกจากที่ดินของโจทก์อีกครั้งหนึ่งมีกำหนด ๑๕ วัน พ้นกำหนดยังไม่ขนย้ายก็ให้ผู้ร้องมีอำนาจขนย้ายได้เองโดยคิดค่าใช้จ่ายจากจำเลยที่ ๒ ในการขนย้าย ให้ผู้ร้องแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจไปเป็นสักขีพยาน จำเลยที่ ๒ ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นแล้ว
จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น
ระหว่างศาลอุทธรณ์พิจารณาอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยดังกล่าววันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๑๔ ผู้ร้องร้องว่าจำเลยไม่ขนย้ายเครื่องจักรออกจากที่ดินของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงทำการขนย้ายเองตามคำสั่งศาลชั้นต้นและได้นำเครื่องจักรไปเก็บไว้ที่คลังสินค้าธนาคารเอเซียทรัสต์ จำกัด สิ้นค่าใช้จ่ายในการขนย้ายและค่าเช่าโกดังระหว่างวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๑๔ ถึงวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๑๕ รวมทั้งสิ้น ๑๔,๔๐๐ บาท ขอให้ศาลเรียกจำเลยที่ ๒ ไปตรวจรับเครื่องจักรจากคลังสินค้าและให้จำเลยชำระเงินค่าใช้จ่ายดังกล่าวและค่าเช่าโกดังงวดต่อไปให้ผู้ร้อง ศาลชั้นต้นสั่งว่าให้จำเลยทราบและแจ้งให้จำเลยปฏิบัติ
ต่อมาวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๑๕ ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ผู้ร้องและจำเลยฟังโดยศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องของผู้ร้องโดยวินิจฉัยว่าผู้ร้องไม่ใช่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ทั้งการบังคับคดีเกี่ยวกับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเสร็จสิ้นไปแล้ว ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอให้ศาลสั่งให้จำเลยรื้อถอนเครื่องจักรออกจากที่ดินของผู้ร้อง ครั้นวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๑๕จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องได้ทำการขนย้ายเครื่องจักรและอุปกรณ์ทั้งหมดของจำเลยออกไปจากที่ดินของผู้ร้องทั้ง ๆ ที่ผู้ร้องทราบว่าจำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นและขอทุเลาการขนย้ายต่อศาลอุทธรณ์ เป็นการกระทำไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและปราศจากเจตนาสุจริต เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำร้องของผู้ร้องเช่นนี้ จึงขอให้ศาลออกหมายบังคับให้ผู้ร้องขนย้ายเครื่องจักรและอุปกรณ์กลับมาเก็บไว้ที่เดิมและให้รับผิดในค่าใช้จ่ายทั้งหมด ศาลชั้นต้นสั่งว่าเป็นคำสั่งของศาลไม่เกี่ยวกับผู้ร้องผู้ร้องทำไปตามคำสั่งศาลเท่านั้นให้ยกคำร้อง อนึ่ง ศาลสั่งให้จำเลยจ่ายค่าขนย้ายให้ผู้ร้อง จึงให้จำเลยชำระแก่ผู้ร้องเสียด้วย
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งคำร้องของผู้ร้องเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๑๔ และที่สั่งคำร้องของจำเลยเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๑๕
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำสั่งศาลชั้นต้นว่า ให้ผู้ร้องเป็นผู้รับผิดเสียค่าใช้จ่ายในการขนย้ายเครื่องจักรของจำเลยออกไปและค่าฝากรักษาทรัพย์ต่อคลังสินค้าของธนาคารเอเซียทรัสต์นับจากวันฝากถึงวันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และให้จำเลยรับผิดชำระค่ารักษาทรัพย์ให้คลังสินค้านับหลังจากวันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปจนถึงวันรับเครื่องจักรคืนจากคลังสินค้านอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้น
ผู้ร้องฎีกาขอให้พิพากษาไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว คดีคงมีปัญหาวินิจฉัยแต่เฉพาะคำแถลงของผู้ร้องลงวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๑๔ ว่า ศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งจำเลยปฏิบัติตามคำแถลงของผู้ร้องได้หรือไม่ ผู้ร้องอ้างตามคำแถลงว่าศาลมีคำสั่งให้จำเลยที่ ๒ ขนย้ายเครื่องจักรทั้งหมดออกจากที่ดินผู้ร้องซื้อจากการขายทอดตลาดของศาล แต่ครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ขนย้ายผู้ร้องจึงทำการขนย้ายเครื่องจักรออกไปฝากคลังสินค้าธนาคารเอเซียทรัสต์จำกัด โดยผู้ร้องเสียค่าใช้จ่ายและค่าเช่าโกดังเป็นเงิน ๑๔,๔๐๐ บาท ขอให้จำเลยชำระ ซึ่งศาลชั้นต้นสั่งว่าให้จำเลยทราบและแจ้งให้จำเลยปฏิบัติ แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำสั่งศาลชั้นต้นว่าให้ผู้ร้องรับผิดค่าใช้จ่ายในการขนย้ายเครื่องจักรและค่ารักษาเครื่องจักรที่ฝากคลังสินค้า ถึงวันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ส่วนค่ารักษาเครื่องจักรนับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ถึงวันรับเครื่องจักรคืนจากคลังสินค้า ให้จำเลยรับผิดศาลฎีกาเห็นว่า คำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวเป็นการบังคับผู้ร้องและจำเลยให้ต้องรับผิดปฏิบัติตามคำสั่งและคำพิพากษา แต่ปรากฏว่าผู้ร้องเป็นผู้ซื้อที่ดินได้จากการขายทอดตลาดของศาล หาใช่เป็นผู้มีอำนาจขอให้บังคับจำเลยได้ไม่เพราะผู้ร้องมิใช่คู่ความหรือบุคคลผู้เป็นฝ่ายชนะ(เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗๑ โจทก์ต่างหากเป็นคู่ความหรือเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลย และการบังคับคดีของโจทก์ที่มีต่อจำเลยก็เสร็จสิ้นไปแล้วผู้ร้องเป็นบุคคลภายนอกคดีไม่มีสิทธิบังคับคดีในคดีนี้ได้ เมื่อมีข้อโต้แย้งสิทธิเกิดขึ้นผู้ร้องกับจำเลย ผู้ร้องก็ชอบที่จะฟ้องจำเลยเป็นคดีต่างหากจากคดีเดิมจะใช้สิทธิขอบังคับจำเลยในคดีนี้ไม่ได้ เพราะไม่มีกฎหมายให้อำนาจไว้ ฉะนั้นศาลชั้นต้นจะบังคับจำเลยที่ ๒ ให้ปฏิบัติตามคำแถลงของผู้ร้องลงวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๑๔ และเช่นเดียวกันศาลอุทธรณ์จะบังคับให้ผู้ร้องและจำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดหาได้ไม่ชอบที่ศาลจะยกคำแถลงดังกล่าวของผู้ร้องเสียแต่ต้นแม้จำเลยที่ ๒ จะมิได้ฎีกาในข้อที่ศาลอุทธรณ์ให้ต้องรับผิดก็ตามแต่เมื่อตามกฎหมายผู้ร้องไม่มีอำนาจขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ ๒ ในคดีนี้ได้แล้วกรณีจึงเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยให้จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒(๕)
จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกคำแถลงของผู้ร้องลงวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๑๔ เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์