คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 209/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้าง มาตรา 11 ทวิ เป็นบทบัญญัติให้อำนาจสิทธิขาดแก่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่จะจัดการตามที่เห็นสมควรเพื่อแก้ไขเปลี่ยนแปลงและหรือรื้อถอนอาคารและส่วนแห่งอาคารซึ่งปลูกสร้างโดยมิได้รับอนุญาตนั้นได้เอง โดยไม่ต้องขอให้ศาลบังคับ
โจทก์ปล่อยปละละเลยให้จำเลยปลูกสร้างอาคารจนเสร็จและส่งมอบให้เจ้าของที่ดินไป และเจ้าของที่ดินได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและอาคารพิพาทให้แก่บุคคลอื่นไปแล้ว โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยรื้อถอนอาคารพิพาทที่จำเลยปลูกสร้างดังกล่าวนั้นเท่ากับเป็นการฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยรื้อถอนหรือทำลายทรัพย์สินของบุคคลภายนอกซึ่งมิใช่เป็นคู่ความในคดีด้วย ศาลจึงบังคับให้ไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ. 2518 จำเลยปลูกสร้างอาคารขึ้นใหม่ที่บริเวณตรอกไข่ ซอยสำราญราษฎร์ฯ ซึ่งเป็นบริเวณเพลิงไหม้โดยไม่ได้รับอนุญาตและปลูกรุกล้ำทางโครงการซึ่งกองผังเมืองกรุงเทพมหานครได้วางไว้ และปลูกสร้างโดยไม่เว้นที่ว่างเป็นทางเดินหลังอาคารไม่น้อยกว่า 2 เมตร เป็นการฝ่าฝืนต่อเทศบัญญัติ โจทก์มีคำสั่งให้จำเลยระงับการก่อสร้าง แต่จำเลยไม่เชื่อฟังคงสร้างต่อไปจนแล้วเสร็จ จำเลยถูกพนักงานอัยการฟ้องต่อศาลในข้อหาปลูกสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลพิพากษาลงโทษคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์แจ้งให้จำเลยรื้อถอนอาคารดังกล่าวนั้นเสีย จำเลยเพิกเฉยจึงฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยรื้อถอนอาคารดังกล่าว ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติให้โจทก์รื้อถอนเองโดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย

จำเลยให้การว่าฟ้องเคลือบคลุม อาคารตามฟ้องมิใช่เป็นอาคารของจำเลยแต่เป็นของบุคคลอื่น โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เจ้าของที่ดินอนุญาตให้จำลเยก่อสร้าง จำเลยได้ยื่นแบบแปลนขออนุญาตต่อโจทก์ตามระเบียบของทางราชการแล้วโดยถูกต้อง แต่โจทก์ไม่จัดการอนุญาตหรือแจ้งเหตุขัดข้องให้จำเลยทราบภายในเวลาอันสมควร จำเลยต้องทำการก่อสร้างจนแล้วเสร็จอาคารพิพาทได้ก่อสร้างโดยถูกต้องตามกฎหมาย ความผิดพลาดบกพร่องเกี่ยวกับทางเดินหลังอาคาร เป็นการกระทำของบุคคลอื่นที่กระทำขึ้นภายหลังมิใช่เกิดจากการกระทำของจำเลย โจทก์เคยฟ้องจำเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่โจทก์ไม่ขอให้จำเลยรื้อถอนอาคารกลับฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ จึงเป็นฟ้องซ้ำขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมและไม่เป็นฟ้องซ้ำ และวินิจฉัยว่าขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้กรรมสิทธิ์ในอาคารตกเป็นของผู้อื่นไม่ใช่ของจำเลย โจทก์มิได้ฟ้องขอให้บังคับเจ้าของอาคารให้รื้อถอนอาคารเข้ามาด้วยจึงเป็นการพ้นวิสัยที่ศาลจะบังคับจำเลยได้ เพราะโดยสภาพไม่เปิดช่องให้ทำเช่นนั้นได้ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างพ.ศ. 2479 มาตรา 11 ทวิ ได้บัญญัติให้อำนาจเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นไว้ว่า ในกรณีที่มีการปลูกสร้างอาคารโดยมิได้รับอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นมีอำนาจสั่งระงับการก่อสร้างหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลง และหรือรื้อถอนอาคารหรือส่วนแห่งอาคารนั้นได้ ถ้าผู้ปลูกสร้างอาคารผู้ได้รับคำสั่งไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นภายในระยะเวลาที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นกำหนดก็ให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นมีอำนาจจัดการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่เห็นสมควร เพื่อแก้ไขเปลี่ยนแปลงและหรือรื้อถอนอาคารและส่วนแห่งอาคารนั้นได้โดยคิดค่าใช้จ่ายจากผู้ปลูกสร้างอาคารนั้น บทบัญญัติดังกล่าวให้อำนาจสิทธิขาดแก่โจทก์ที่จะจัดการเกี่ยวกับอาคารพิพาทได้เองโดยไม่ต้องขอให้ศาลบังคับ แต่โจทก์หาได้ใช้อำนาจของตนที่มีอยู่ดังกล่าวไม่ กลับปล่อยปละละเลยให้จำเลยปลูกสร้างอาคารพิพาทจนแล้วเสร็จและส่งมอบให้เจ้าของที่ดินไป จนเจ้าของที่ดินได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ทั้งที่ดินและอาคารพิพาทให้แก่บุคคลอื่นไปแล้ว โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยรื้อถอนอาคารพิพาทที่จำเลยปลูกสร้างดังกล่าวศาลฎีกาเห็นว่า การฟ้องของโจทก์เช่นนี้เท่ากับเป็นการฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยรื้อถอนหรือทำลายทรัพย์สินของบุคคลภายนอกซึ่งมิได้เป็นคู่ความในคดีด้วย ศาลจึงบังคับให้ไม่ได้

พิพากษายืน

Share