แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นเสมียนที่ดินอำเภอ มีหน้าที่ทำการไต่สวนพิสูจน์ที่ดินโดยการสมคบสนับสนุนของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 กรอกข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารรายการไต่สวนฯ ที่ดินของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 มีที่ดิน 1 แปลง มีเนื้อที่และอาณาเขตตามรายละเอียดในฟ้อง และจำเลยที่ 1 ทำแผนที่ปลอมในเอกสารการพิสูจน์ โดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้รังวัด ตรวจสอบ และพิสูจน์ แต่ได้กรอกข้อความดังกล่าวลงในเอกสาร เพื่อสนับสนุนการกระทำของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ได้ลงชื่อรับรองในเอกสารดังกล่าว ยืนยันว่าจำเลยที่ 2 ได้นำจำเลยที่1 สำรวจพิสูจน์และปักหลักเขตไว้ถูกต้องตรงตามความจริง มิได้ล้ำแนวเขตที่ดินข้างเคียงหรือที่สาธารณประโยชน์ และรับรองแผนที่ว่าถูกต้อง โดยจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7ทราบดีว่าไม่มีการรังวัด และจำเลยที่ 2 ไม่มีที่ดินดังแผนที่ และทิศข้างเคียงในใบตรวจสอบก็ไม่ตรงตามความจริง เป็นการสมคบกันปลอมเอกสาร ทำให้โจทก์เสียหาย เพราะหากที่ดินของจำเลยที่ 2 มีรายการดังที่จำเลยที่1 ทำปลอมขึ้น ก็จะทับที่ของโจทก์ที่อยู่ข้างเคียงและต่อมาจำเลยได้บังอาจนำเอกสารดังกล่าวมาเป็นพยานในคดีแพ่ง โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์และประชาชน
ตามคำฟ้องนี้ เอกสารไต่สวนพิสูจน์ที่ดินของจำเลยที่ 2เป็นเอกสารที่จำเลยที่ 1 ออกให้ตามหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เป็นเอกสารอันแท้จริง แม้ข้อความจะไม่ตรงต่อความจริงก็ไม่ทำให้กลายเป็นเอกสารปลอม จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 161,264,266 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ก็ย่อมไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนหรือตัวการในความผิดดังกล่าวด้วย แต่โจทก์ฟ้องด้วยว่าจำเลยที่ 1 โดยการสนับสนุนของจำเลยที่ 2 ถึง 7บังอาจกรอกข้อความอันเป็นเท็จ และทำแผนที่เท็จในเอกสารการไต่สวนพิสูจน์ที่ดินของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 1ไม่ได้รังวัดตรวจสอบ และพิสูจน์ที่ดินของจำเลยที่ 2 หากเป็นความจริงดังฟ้องการกระทำของจำเลยที่ 1 อาจเป็นความผิดตามมาตรา 162 และการกระทำของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 อาจเป็นความผิดฐานสนับสนุนการกระทำความผิดดังกล่าวสมควรฟังข้อเท็จจริงต่อไป ที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษายกฟ้องนั้น ไม่เป็นการชอบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องใจความว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานตำแหน่งเสมียนที่ดินอำเภอมีหน้าที่ทำรายการไต่สวนพิสูจน์ที่ดิน โดยการสมคบสนับสนุนของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ได้บังอาจกรอกข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารรายการไต่สวน แสดงว่าจำเลยที่ 2 มีที่ดิน 1 แปลงปรากฏเนื้อที่และอาณาเขตที่แน่นอนจรดที่ดินข้างเคียง และจำเลยที่ 1 ทำแผนที่ปลอมในเอกสารการพิสูจน์ โดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้ทำการรังวัดตรวจสอบ และพิสูจน์ที่ดินนั้นแต่อย่างใด เพื่อสนับสนุนการกระทำของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ได้ลงชื่อรับรองในเอกสารดังกล่าวยืนยันว่า จำเลยที่ 2 ได้นำจำเลยที่ 1 สำรวจพิสูจน์และปักหลักเขตที่ดินไว้ถูกต้อง ตามความเป็นจริง มิได้ล้ำแนวเขตที่ดินข้างเคียง และรับรองแผนที่ที่ได้ทำขึ้นว่าถูกต้องโดยจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ทราบดีว่าที่ดินที่พิสูจน์นี้ไม่มีการรังวัดและจำเลยที่ 1 (น่าจะเป็นจำเลยที่ 2)ไม่มีที่ดินดังแผนที่ ในการตรวจสอบรังวัดที่ดินข้างเคียงทั้ง 4 ด้านในใบตรวจสอบก็ไม่ตรงต่อความจริง การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการสมคบกันปลอมเอกสารทำให้โจทก์เสียหาย เพราะหากที่ดินมีอยู่ตามรายการในเอกสารดังกล่าวก็จะทับที่ของโจทก์ที่อยู่ข้างเคียง และต่อมาจำเลยยังได้บังอาจนำเอกสารนั้นมาเป็นพยานในคดีแพ่ง โดยเจตนาจะให้ศาลหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์อีกด้วย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 161, 162, 264, 266, 267, 268, 83
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งประทับฟ้อง
จำเลยทุกคนให้การปฏิเสธ
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นสอบโจทก์ โจทก์รับว่าที่ดินที่โจทก์อ้างว่าจำเลยปลอมเอกสารเป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 178/2516 ของศาลชั้นต้นซึ่งจำเลยที่ 2 เป็นโจทก์ และศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์ในคดีนี้บุกรุก และพิพากษาลงโทษไปแล้ว ศาลชั้นต้นจึงสั่งงดสืบพยานโจทก์และจำเลย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เอกสารที่จำเลยที่ 1 ทำขึ้นและจำเลยที่ 2 ถึงจำเลยที่ 7 ลงชื่อรับรองไม่ได้เป็นเอกสารปลอมการกระทำของจำเลยทั้งเจ็ดไม่เป็นความผิดดังโจทก์ฟ้อง พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดกฎหมายหลายบทจะวินิจฉัยเพียงว่า เอกสารที่จำเลยที่ 1 ทำขึ้นและจำเลยที่ 2 ถึงจำเลยที่ 7 ลงชื่อรับรอง ไม่ใช่เอกสารปลอม แล้วพิพากษาไปเท่านั้น ยังไม่ได้ เพราะอาจเป็นการกระทำผิดกฎหมายบทอื่นได้และจำเลยก็ให้การปฏิเสธ จึงต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไป พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยทั้งเจ็ดฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จากคำฟ้องของโจทก์ปรากฏว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เป็นเสมียนที่ดินอำเภอเกษตรวิสัยมีหน้าที่ทำรายการไต่สวนพิสูจน์ที่ดิน ในกรณีที่มีผู้ร้องขอให้ทำการไต่สวนพิสูจน์ที่ดินเอกสารรายการไต่สวนพิสูจน์ที่ดินของจำเลยที่ 2 เป็นเอกสารที่จำเลยที่ 1 ออกให้ตามหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จึงเป็นเอกสารอันแท้จริงไม่ใช่เป็นเอกสารปลอม แม้ข้อความในเอกสารจะไม่ตรงต่อความจริงก็ไม่ทำให้เอกสารนั้นกลายเป็นเอกสารปลอม จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 161, 264, 266 จำเลยที่ 3 ถึงจำเลยที่ 7 ก็ย่อมไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนหรือตัวการในความผิดดังกล่าวด้วย คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายว่าจำเลยที่ 2 ถึงจำเลยที่ 7 แจ้งให้จำเลยที่ 1 จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารรายการไต่สวนพิสูจน์ที่ดินของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ถึงจำเลยที่ 7 จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 267 หรือ 268 แต่โจทก์บรรยายฟ้องด้วยว่าจำเลยที่ 1 โดยการสนับสนุนของจำเลยที่ 2 ถึงจำเลยที่ 7 ได้บังอาจกรอกข้อความอันเป็นเท็จและทำแผนที่เท็จในเอกสารการไต่สวนพิสูจน์ที่ดินของจำเลยที่ 2 โดยที่จำเลยที่ 1 ไม่ได้รังวัด ไม่ได้ตรวจสอบ และไม่ได้พิสูจน์ที่ดินของจำเลยที่ 2 หากความจริงเป็นเช่นที่โจทก์ฟ้อง การกระทำของจำเลยที่ 1 อาจเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162 และการกระทำของจำเลยที่ 2 ถึงจำเลยที่ 7 อาจเป็นความผิดฐานสนับสนุนให้จำเลยที่ 1 กระทำผิดดังกล่าว จึงสมควรฟังข้อเท็จจริงต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน