แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ และมิได้ปฏิบัติตาม คำพิพากษาของศาลชั้นต้นซึ่ง ถึงที่สุดแล้ว โจทก์ย่อมขอให้ศาลบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสองได้ ทันที การที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าสัญญาประนีประนอมยอมความเกิดจากกลฉ้อฉล เจตนาลวง ก็เป็นข้ออ้างของจำเลยที่ 1 เพียงฝ่ายเดียว ซึ่ง โจทก์มิได้ยอมรับตาม ข้ออ้างของจำเลยที่ 1 ด้วย และเป็นคดีโต้เถียง กันอยู่ในคดีที่จำเลยที่ 1ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะงดการบังคับคดี.
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ให้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงออกหมายบังคับคดี จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 1 ได้ฟ้องโจทก์ต่อศาลชั้นต้นขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีนี้แล้ว ปรากฏตามคดีหมายเลขดำที่3869/2531 ของศาลชั้นต้น หากคดีดังกล่าวศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1ชนะคดี โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะบังคับคดีนี้แก่จำเลยที่ 1 อีกต่อไปฉะนั้นจึงขอให้ศาลชั้นต้นสั่งงดการบังคับคดีไว้เพื่อรอฟังคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 3869/2531 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292(2)
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ และจำเลยทั้งสองมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นซึ่งถึงที่สุดแล้ว เห็นว่าโจทก์ย่อมขอให้ศาลบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสองได้ทันที จำเลยที่ 1 อ้างว่าจำเลยที่ 1ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ ก็เพราะจำเลยที่ 1 ไม่ทราบว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้รายเดียวกับหนี้ในคดีนี้ไปแล้ว หากจำเลยที่ 1ทราบก็จะไม่ทำยอมกับโจทก์นั้นเห็นว่า เป็นข้ออ้างของจำเลยที่ 1เพียงฝ่ายเดียว โจทก์ไม่ได้ยอมรับตามข้ออ้างของจำเลยที่ 1 ด้วยและยังเป็นคดีโต้เถียงกันอยู่ จึงไม่พอฟังได้ว่า จำเลยที่ 1ทำยอมในคดีนี้เพราะกลฉ้อฉล เจตนาลวง และจงใจนิ่งเสียไม่ไขข้อความจริงของจำเลยที่ 2 และโจทก์อันจะเป็นผลให้สัญญาประนีประนอมยอมความในคดีนี้ระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์ตกเป็นโมฆะตามจำเลยกล่าวอ้าง ดังนั้นข้ออ้างของจำเลยที่ 1 ตามคำร้องจึงยังไม่มีเหตุสมควรที่ศาลจะให้งดการบังคับคดีไว้…”
พิพากษายืน.