คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2073/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานแสดงให้เป็นที่พอใจว่าต้นฉบับเอกสารสัญญากู้ยืมเงินได้ปิดแสตมป์บริบูรณ์แล้ว ศาลจึงรับฟังคู่ฉบับเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้และเมื่อโจทก์มิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ โจทก์จึงฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 653 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2532 จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 1,000,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราชั่งละหนึ่งบาทต่อเดือน กำหนดชำระดอกเบี้ยทุกวันที่ 6 ของเดือน โดยจำเลยนำโฉนดที่ดินเลขที่ 65480 เนื้อที่ 1 งาน 36 ตารางวา ให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันหลังจากนั้นจำเลยผิดสัญญาไม่ชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์เลย โจทก์จึงบอกกล่าวให้จำเลยชำระเงินต้นและดอกเบี้ยแก่โจทก์ภายในกำหนด 7 วัน แต่จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยชำระเงินต้นจำนวน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 750,000 บาท และดอกเบี้ยในอัตราชั่งละหนึ่งบาทต่อเดือนในเงินต้น 1,000,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์และให้โจทก์มีสิทธิยึดหน่วงโฉนดที่ดินเลขที่ดังกล่าวไว้จนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินโจทก์ ลายมือชื่อในช่องผู้กู้เป็นลายมือชื่อปลอม จำเลยไม่เคยมอบโฉนดที่ดินฉบับดังกล่าวให้โจทก์ยึดถือเป็นประกันหนี้ตามคำฟ้อง ความจริงจำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นประกันแก่โจทก์ในวงเงิน100,000 บาท เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2520 และโจทก์เป็นผู้ยึดถือต้นฉบับโฉนดที่ดินไว้ จำเลยได้ยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลแพ่งขอให้บังคับโจทก์จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองและคืนโฉนดที่ดินฉบับดังกล่าวแก่จำเลยเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 4621/2537 โจทก์ไม่มีสิทธิยึดหน่วงโฉนดที่ดิน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องเรียกเงินยืมจากจำเลยจำนวน1,000,000 บาท ตามสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.1ซึ่งต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือและตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 สัญญากู้ยืมเงินต้องปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ แต่เอกสารหมาย จ.1 ปิดอากรแสตมป์เพียง 10 บาท ไม่บริบูรณ์ จึงใช้เป็นพยานหลักฐานไม่ได้โจทก์จึงฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่ ประเด็นอื่นไม่จำต้องวินิจฉัย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์แต่เพียงว่า คู่ฉบับสัญญากู้ยืมเงินตามเอกสารหมาย จ.1 รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ตามกฎหมายหรือไม่ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 110บัญญัติว่า “คู่ฉบับหรือคู่ฉีกแห่งตราสารใด แม้จะได้ปิดแสตมป์สำหรับคู่ฉบับหรือคู่ฉีดนั้นตามอัตราในบัญชีท้ายหมวดนี้แล้วก็ดีถ้ามิได้นำตราสารต้นฉบับหรือพยานหลักฐานแสดงให้เป็นที่พอใจว่าตราสารต้นฉบับนั้นได้ปิดแสตมป์บริบูรณ์แล้ว มิให้ถือว่าคู่ฉบับหรือคู่ฉีกนั้น ได้ปิดแสตมป์บริบูรณ์จนกว่าจะได้เสียอากรโดยปิดแสตมป์ครบจำนวนอากรสำหรับตราสารต้นฉบับและขีดฆ่าแล้ว”และมาตรา 118 บัญญัติว่า “ตราสารใดไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์จะใช้ต้นฉบับ คู่ฉบับ คู่ฉีกหรือสำเนาตราสารนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้” เมื่อปรากฏตามคำเบิกความของโจทก์ตอบทนายจำเลยถามค้านว่า สัญญากู้โจทก์เป็นผู้พิมพ์เอง 2 ฉบับ มอบให้จำเลยไป 1 ฉบับ และต้นฉบับที่จำเลยรับไปจะติดอากรแล้วหรือไม่ โจทก์จำไม่ได้ แล้วเบิกความใหม่ว่าได้ติดอากรแล้ว แต่จำนวนเท่าใดจำไม่ได้ ประกอบกับในชั้นพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 โจทก์ยื่นคำแถลงขอรับคืนสัญญากู้ยืมเงินตามเอกสารหมาย จ.1 เพื่อนำไปปิดแสตมป์บริบูรณ์เสียก่อนย่อมส่อแสดงพิรุธ กรณีถือว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานแสดงให้เป็นที่พอใจว่าต้นฉบับเอกสารสัญญากู้ยืมเงินรายนี้ได้ปิดแสตมป์บริบูรณ์แล้ว จึงรับฟังคู่ฉบับเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ตามกฎหมาย เมื่อโจทก์มิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ โจทก์จึงฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 653 วรรคหนึ่งแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
พิพากษายืน

Share