คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2066/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ไม้ของกลางเป็นไม้ของโรงเลื่อยจักรซึ่งได้เสียค่าภาคหลวงโดยชอบ และได้ขายให้แก่จำเลยโดยมีใบเบิกทางซึ่งระบุตราประทับไม้ไม่ตรงกับรอยตราที่ประทับอยู่ที่ไม้แต่จำนวนและชนิดของไม้ก็ถูกต้องตรงกับใบเบิกทางจึงไม่ใช่ไม้ที่มีไว้โดยผิดกฎหมายหากจะเป็นความผิดก็เป็นความผิดฐานอื่นมิใช่ความผิดฐานมีไม้แปรรูปไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องมีใจความอย่างเดียวกันว่า จำเลยทั้งสองสำนวนร่วมกันแปรรูปไม้และมีไม้แปรรูปดังกล่าวไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ และริบของกลาง

จำเลยทั้งสองสำนวนให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองสำนวนมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 48, 73, 74, 74 ทวิ พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 17, 18 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 5)พ.ศ. 2518 มาตรา 19 พระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม พ.ศ. 2505มาตรา 4 ประกาศกระทรวงเกษตรเรื่องกำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 ลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2499 ให้จำคุกคนละ 2 ปี และปรับจำเลยที่ 2 อีก 10,000 บาท ริบไม้และรถยนต์ของกลาง

จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ คืนไม้และรถยนต์ของกลางแก่เจ้าของ

โจทก์ฎีกาทั้งสองสำนวน

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จับจำเลยได้พร้อมไม้ของกลางอยู่ในรถยนต์โดยมีใบเบิกทางซึ่งระบุตราประทับไม้ไม่ตรงกับรอยตราที่ประทับอยู่ที่ไม้นั้นเท่านั้นแต่จำนวนและชนิดของไม้ก็ถูกต้องตรงกับใบเบิกทาง และเป็นไม้ที่จำเลยซื้อจากโรงเลื่อยจักรและได้เสียค่าภาคหลวงแล้ว จึงเป็นไม้ซึ่งแปรรูปโดยโรงเลื่อยจักร หาใช่จำเลยทั้งสองร่วมกันแปรรูปไม้ และหาใช่ไม้แปรรูปที่มิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่

ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ตราไม้ของกลางไม่ตรงกับที่ระบุไว้ในใบเบิกทางจึงต้องฟังว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องนั้น ก็เห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าไม้ของกลางเป็นไม้ของโรงเลื่อยจักรสุขกมล ซึ่งได้เสียค่าภาคหลวงโดยชอบแล้ว เพียงแต่ไม้ของกลางมีตราประทับไม่ตรงตามใบเบิกทางเท่านั้นหาทำให้ไม้นั้นเป็นไม้ที่มีไว้ผิดกฎหมายไม่หากจะเป็นความผิดก็เป็นความผิดฐานอื่น มิใช่ความผิดฐานมีไม้แปรรูปไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตดังที่โจทก์ฟ้อง

พิพากษายืน

Share