คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2054/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดสามกระทง จำคุกกระทงละ 1 ปี รวมจำคุกคนละ 3 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดกระทงเดียว จำคุกคนละ 1 ปี เป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
จำเลยโอนที่ดินทั้ง 3 แปลงตามฟ้องรวม 3 ครั้งด้วยกัน แม้ว่าจำเลยจะมีเจตนาเพียงประการเดียวที่จะไม่ให้โจทก์บังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ก็ตามแต่การโอนที่ดินไปแต่ละครั้งนั้น ก็เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้สำเร็จแล้วทุกครั้ง การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำหลายกรรมต่างกัน มิใช่กรรมเดียว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและขอแก้ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน โจทก์เคยฟ้องจำเลยที่ ๑ กับบุคคลอื่นที่มิได้ฟ้องในคดีนี้ ศาลพิพากษาถึงที่สุดให้โอนที่ดินพร้อมตึกแถวแก่โจทก์ จำเลยที่ ๑ ไม่สามารถโอนได้เพราะได้โอนให้บุคคลอื่นไปก่อนแล้ว จำเลยทั้งสองทราบถึงการใช้สิทธิทางศาลของโจทก์ ยังโอนทรัพย์สินให้แก่ผู้อื่นโดยรู้ว่าทรัพย์สินเหล่านั้นจะต้องถูกยึดเพื่อบังคับคดี การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการกระทำเพื่อมิให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๑๘๗, ๓๕๐
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘๗, ๓๕๐, ๘๓ ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา๑๘๗ ซึ่งเป็นบทหนัก เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ จำคุกกระทงละ ๑ ปี จำเลยทั้งสองกระทำความผิด ๓ กระทงคงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ ๓ ปี
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดเพียงคนละหนึ่งกระทง คงลงโทษจำคุกคนละ ๑ ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดสามกระทง จำคุกกระทงละ ๑ ปี รวมจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ ๓ ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดกระทงเดียว จำคุกคนละ ๑ ปี เป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา๒๑๘ จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองกระทำไปโดยไม่มีเจตนาที่จะมิให้โจทก์ได้รับชำระหนี้หรือเจตนาที่จะหลบหลีกมิให้ทรัพย์ที่โอนไปถูกยึดทรัพย์เพื่อชำระหนี้ ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงเป็นฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยได้โอนที่ดินทั้ง ๓ แปลงตามฟ้องรวม ๓ ครั้งด้วยกันแม้ว่าจำเลยจะมีเจตนาเพียงประการเดียวที่จะไม่ให้โจทก์บังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ ก็ตาม แต่การโอนที่ดินไปแต่ละครั้งนั้นก็เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้สำเร็จแล้วทุกครั้ง การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันมิใช่กรรมเดียว คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีลงโทษจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และให้ยกฎีกาของจำเลยทั้งสอง.

Share