แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การตกลงทำสัญญาขายฝากที่ดิน โดยถือเอาหนี้เงินกู้เป็นราคาที่ขายฝากเป็นการแปลงหนี้ใหม่
เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ที่ขายฝากไว้ก่อนขายฝาก ผู้ขายฝากไม่มีสิทธินำไปขายฝากตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 305(1) การขายฝากจึงมิได้เกิดมีขึ้น หนี้เงินกู้จึงไม่ระงับสิ้นไปผู้ค้ำประกันยังต้องผูกพันตามสัญญาค้ำประกันอยู่
การที่ลูกหนี้ถูกยึดทรัพย์แล้วเจ้าหนี้มิได้ดำเนินการเพื่อให้ได้เข้าเฉลี่ยหนี้นั้น ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้เจ้าหนี้เสียสิทธิที่จะฟ้องผู้ค้ำประกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๐๗ จำเลยที่ ๑ กู้เงินโจทก์ไป ๓๑,๔๐๐ บาท สัญญาให้ดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน ปรากฏตามสำเนาสัญญากู้และสำเนาสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้อง
วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๑๐ จำเลยได้ทำนิติกรรมขายฝากที่ดินสวนยางให้โจทก์ในราคา ๓๑,๔๐๐ บาท เท่ากับจำนวนเงินกู้โดยจดทะเบียนการขายฝากเมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๑๐ เพื่อเป็นการหักกลบลบหนี้
แต่เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๑๐ นายหะยีฮารน สุหลง เจ้าหนี้จำเลยที่ ๑ ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่แปลงนี้ โจทก์ร้องขัดทรัพย์ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำร้องขัดทรัพย์คดีถึงที่สุดจึงไม่อาจหักกลบลบหนี้กันได้
ขอให้บังคับให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินต้น ๓๑,๔๐๐ บาท กับดอกเบี้ย๑,๙๖๒.๕๐ บาท หากจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระ ขอให้จำเลยที่ ๒ ชำระแทน
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๒ ให้การว่าได้เป็นผู้ค้ำประกันหนี้รายนี้ แต่จำเลยที่ ๑ นำที่ดินไปจดทะเบียนขายฝากให้โจทก์แล้ว หนี้รายนี้เป็นอันระงับไปจำเลยที่ ๒ พ้นภาระการเป็นผู้ค้ำประกันเมื่อนายฮะยีฮารน สุหลง ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ได้เรียกร้องให้โจทก์ดำเนินคดีกับจำเลยที่ ๑ เพื่อให้โจทก์ขอเฉลี่ยหนี้รายนี้ โจทก์ก็ไม่ดำเนินคดี จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดชอบในส่วนที่โจทก์อาจจะได้รับส่วนเฉลี่ยจากนายหะยีฮารน สุหลง โจทก์ไม่ได้เรียกให้จำเลยที่ ๒ ชำระหนี้ก่อนฟ้อง จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียม โจทก์ชอบที่จะเรียกให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ก่อน
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ กู้เงินโจทก์และค้างชำระดอกเบี้ยจริงตามฟ้อง ที่จำเลยที่ ๑ อ้างว่าได้ขายฝากที่ดินให้โจทก์เป็นการหักกลบลบหนี้นั้น การขายฝากไม่ได้เกิดขึ้น เพราะเจ้าหนี้ของจำเลยที่ ๑ ในคดีอื่นยึดที่ดินดังกล่าวก่อนจะได้จดทะเบียนการขายฝาก หนี้เงินกู้จึงยังคงอยู่ภาระการค้ำประกันของจำเลยที่ ๒ ไม่ระงับไป ส่วนข้อต่อสู้ของจำเลยที่ ๒ ว่าโจทก์ไม่รีบดำเนินคดีกับจำเลยที่ ๑ เพื่อที่จะได้ขอเฉลี่ยหนี้ จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดชอบในส่วนที่โจทก์อาจจะได้รับส่วนเฉลี่ยนั้น โจทก์ได้ร้องขัดทรัพย์และสู้คดีจนถึงศาลอุทธรณ์ เมื่อเห็นว่าไม่มีทางชนะ จึงมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ และข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้แล้ว ตามคำขอท้ายฟ้องก็แสดงว่าโจทก์จะต้องบังคับคดีเอากับจำเลยที่ ๑ ก่อนพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินต้น ๓๑,๔๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ ๒ ชำระแทน
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกาใจความว่า โจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตกลงเปลี่ยนแปลงสารสำคัญแห่งสัญญาจากสัญญากู้มาเป็นสัญญาขายฝากหนี้เดิมเป็นอันระงับสิ้นไปจำเลยที่ ๒ จึงหลุดพ้นจากความรับผิดชอบและการที่โจทก์เพิกเฉยไม่รีบดำเนินการเพื่อให้ได้เข้าเฉลี่ยหนี้ในคดีที่นายหะยีฮารน สุหลง ฟ้องจำเลยที่ ๑ และยึดทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ ไว้ โจทก์จึงเสียสิทธิที่จะฟ้องเรียกจากจำเลยที่ ๒ ผู้ค้ำประกัน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่โจทก์และจำเลยที่ ๑ ตกลงทำสัญญาขายฝากที่ดิน โดยถือเอาหนี้เงินกู้เป็นราคาที่ขายฝากเช่นนี้ เป็นการแปลงหนี้เพราะเป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสารสำคัญแห่งหนี้ หนี้เงินกู้จึงระงับสิ้นไปแต่ถ้าหนี้ตามสัญญาขายฝากมิได้เกิดมีขึ้นด้วยประการใด ๆ หนี้เงินกู้ก็ยังหาระงับไปไม่
คดีนี้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าในวันที่โจทก์และจำเลยที่ ๑ จดทะเบียนการขายฝากที่ดินกันนั้น นายหะยีฮารน สุหลง เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ ๑ ในสำนวนคดีแพ่งแดงที่ ๓๖/๒๕๑๐ นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ก่อนแล้ว จำเลยที่ ๑ ไม่มีสิทธินำไปขายฝากให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๐๕(๑) และศาลอุทธรณ์ได้ยกคำร้องขัดทรัพย์ของโจทก์คดีนี้ถึงที่สุดไปแล้ว การขายฝากระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงมิได้เกิดมีขึ้นหนี้เงินกู้จึงไม่ระงับสิ้นไป จำเลยที่ ๒ ยังต้องผูกพันตามสัญญาค้ำประกันนั้นอยู่
ข้อที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า โจทก์เสียสิทธิฟ้องร้องจำเลยที่ ๒ เพราะโจทก์เพิกเฉยไม่รีบดำเนินการเพื่อให้ได้เข้าเฉลี่ยหนี้นั้น โจทก์คงเข้าใจว่าจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาขายฝากที่ดินเป็นการหักกลบลบหนี้ที่ดินตกเป็นของโจทก์แล้วโจทก์จึงได้ดำเนินการร้องขัดทรัพย์ ครั้นเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ ไม่มีสิทธิจะเอาทรัพย์ที่ต้องยึดไปขายฝากหรือโอนให้ผู้อื่นได้ ผู้ร้องขัดทรัพย์ย่อมไม่ได้ไปซึ่งทรัพย์สิทธิเหนือทรัพย์สินที่ยึด โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยตามหนี้เดิมหาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์เพิกเฉยแต่ประการใดไม่ ทั้งกรณีเช่นนี้ก็ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้โจทก์เสียสิทธิในการฟ้องร้องจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกัน
พิพากษายืน