คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 204/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีอาญาซึ่งมีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีขึ้นไป มีจำเลยบางคนรับสารภาพ บางคนปฏิเสธ จำเลยที่รับสารภาพนั้นศาลชั้นต้นมิได้สอบถามเรื่องทนาย และมิได้มีทนายตลอดการพิจารณาของศาลชั้นต้น ส่วนจำเลยที่ปฏิเสธได้แต่งตั้งทนายเข้าซักค้านพยานโจทก์ตลอดจนสืบพยานของตนมาแต่ต้นต่อมาศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยที่รับสารภาพ ศาลยังไม่ได้สอบถามว่าจะมีทนายหรือไม่ คำพิพากษายังไม่ชอบ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาให้ถูกต้องแล้วพิพากษาใหม่ ศาลชั้นต้นได้ขอแรงทนายให้จำเลยที่รับสารภาพ ในวันนัดพร้อม โจทก์และจำเลยที่รับสารภาพและที่ปฏิเสธแถลงว่า ไม่ติดใจให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ โดยขอให้ถือเอาคำพยานที่สืบไว้เดิมเป็นการเพียงพอและทนายจำเลยที่รับสารภาพ ก็ไม่ติดใจซักค้านพยานโจทก์หรือสืบพยานจำเลยอีก ศาลชั้นต้นถือว่าได้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่เสร็จแล้วและพิจารณาคดีไปทีเดียว ดังนี้การให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่มุ่งเฉพาะตัวจำเลยที่รับสารภาพเท่านั้น กระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่กระทำต่อจำเลยที่ปฏิเสธทั้งสองคราวจึงครบถ้วนถูกต้องตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีก ๑ คนร่วมกันมีมีด ปืน ปล้นเอาปืนยาว ๑ กระบอก ราคา ๒,๐๐๐ บาท ฯลฯ ของนางเชือบ ทองใหญ่และเงิน ๓,๒๐๐ บาทของนางแสง วิชิตตานุรักษ์ รวมเป็นเงิน ๑๐,๙๐๐ บาทไปซึ่งในการปล้นนี้จำเลยกับพวกร่วมกันใช้มีด ปืน ขู่เข็ญและว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย แล้วใช้ปืนยิง ๑ นัด ทั้งนี้ เพื่อเป็นความสะดวกในการปล้นทรัพย์ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐, ๘๓ ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน ๑๐,๙๐๐ บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยที่ ๑ ให้การปฏิเสธ จำเลยที่ ๒ ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๐ วรรค ๔ ลดโทษให้จำเลยที่ ๒ กึ่งหนึ่งเพราะรับสารภาพ ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่เจ้าทรัพย์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีนี้มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีขึ้นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๗๓ บังคับว่า ก่อนเริ่มพิจารณาให้ศาลถามจำเลยว่ามีทนายหรือไม่ ถ้าไม่มีและจำเลยต้องการก็ให้ศาลตั้งทนายให้ปรากฏว่าจำเลยที่ ๒ นั้น ศาลยังไม่ได้สอบถามว่าจะมีทนายหรือไม่ ศาลพิพากษามายังไม่ชอบ จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาให้ถูกต้อง แล้วพิพากษาใหม่
ศาลชั้นต้นได้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ โดยได้ขอแรงทนายความให้จำเลยที่ ๒ ตามที่จำเลยต้องการแล้ว ในวันนัดพร้อม จำเลยทั้งสองและโจทก์แถลงว่าไม่ติดใจให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ โดยขอให้ถือเอาคำพยานที่สืบไว้เดิมเป็นการเพียงพอ และทนายจำเลยที่ ๒ ไม่ติดใจซักค้านพยานโจทก์หรือนำสืบพยานจำเลยอีก
ศาลชั้นต้นถือว่าคดีได้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่เสร็จแล้วจึงพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๐ วรรค ๔ ลดโทษให้จำเลยที่ ๒ กึ่งหนึ่งเพราะรับสารภาพให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่เจ้าทรัพย์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
แต่ผู้พิพากษานายหนึ่งมีความเห็นแย้งว่า การที่โจทก์จำเลยแถลงรับรองต่อศาลว่า จำเลยทั้งสองและโจทก์ไม่ติดใจให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่โดยให้ถือเอาคำพยานที่สืบไว้เดิมเป็นการเพียงพอและทนายจำเลยที่ ๒ ไม่ติดใจซักค้านพยานโจทก์หรือนำสืบพยานจำเลยเช่นนี้ ไม่ทำให้การสืบพยานที่ผิดกฎหมายแล้วกลายเป็นถูกกฎหมายขึ้นมาได้ เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีได้ ก็ควรพิพากษายกฟ้องโจทก์
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในปัญหาที่ว่าศาลชั้นต้นได้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีสำหรับตัวจำเลยที่ ๑ มาถูกต้องหรือไม่นั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ ได้แต่งตั้งให้นายอัมพร ณ สงขลาเป็นทนายซักค้านพยานโจทก์ตลอดจนสืบพยานจำเลยที่ ๑มาแต่ต้นโดยศาลได้พิจารณาต่อหน้าจำเลยจนเสร็จสิ้นกระบวนพิจารณา ศาลฎีกาเห็นว่ากระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่กระทำต่อจำเลยที่ ๑ ทั้งสองคราวเป็นไปโดยครบถ้วนถูกต้องตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแล้ว ทั้งจำเลยที่ ๑ก็ได้แถลงไม่ติดใจดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่โดยให้ถือเอาคำพยานที่สืบไว้เป็นการเพียงพอ ประกอบทั้งการให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์นั้น มุ่งเฉพาะตัวจำเลยที่ ๒ ซึ่งรับสารภาพแล้วแต่ศาลยังไม่ได้สอบถามจำเลยที่ ๒ เรื่องต้องการมีทนายแก้ต่างหรือไม่เท่านั้นฉะนั้น การดำเนินกระบวนพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นที่กระทำต่อจำเลยที่ ๑จึงเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ใช้ยันจำเลยที่ ๑ ได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ ได้ร่วมกระทำผิดด้วยแต่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา มาตรา ๓๔๐ วรรค ๔ ได้ถูกแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ข้อ ๑๔ ซึ่งเป็นคุณแก่จำเลย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๐ วรรค ๔ ประกอบด้วยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ข้อ ๑๔นอกจากนี้ยืน

Share