แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ผู้ตายและ ส. โกรธจำเลยอย่างมากที่จำเลยอ้างว่ามีคนบอกว่าผู้ตายมีเฮโรอีนขายแต่หาตัวคนบอกไม่พบ จึงได้รุมทำร้ายจำเลยจนมีบาดแผลโลหิตไหลที่ปาก จำเลยได้ใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงผู้ตายเพื่อให้รอดพ้นจากอันตรายที่ถูกรุมทำร้าย แต่จำเลยแทงผู้ตายหลายที มีบาดแผลฉกรรจ์ ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 จำคุก 16 ปี และมาตรา 321 ปรับ 60 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 69จำคุก 10 ปี 8 เดือน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ทางพิจารณาได้ความจากพยานหลักฐานโจทก์และจำเลยว่า เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2523 เวลาประมาณ 20 นาฬิกานายสมพงษ์ บางขุนทด จำเลยไปขอซื้อเฮโรอีนจากนายสุวัฒน์ ศรีละห้อย ผู้ตายในห้องพักที่แฟลต 43 แขวงดินแดง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร ผู้ตายว่าไม่มีจำเลยยืนยันว่ามีคนบอกว่าผู้ตายมีเฮโรอีนขาย จึงพากันออกจากห้องลงมาจากบนแฟลตเพื่อพบคนที่บอกว่าผู้ตายมีเฮโรอีนขายแต่ไม่พบ จำเลยจึงให้ผู้ตายหาคนบอกเอาเอง จำเลยกับผู้ตายจึงโต้เถียงกัน ในที่สุดจำเลยใช้เหล็กขูดชาฟท์ยาวประมาณ 1 คืบแทงผู้ตายถูกชายโครงข้างซ้ายห่างกึ่งกลาง 6 เซนติเมตรต่ำจากราวนม 12 เซนติเมตร ผิวหนังฉีกขาด 3 แฉก ขนาด 1.2x1x1 เซนติเมตรทะลุเข้ากระดูกหน้าอกซี่ที่ 7 เข้าช่องท้องถูกตับกลีบซ้ายทะลุ ตัดเส้นเลือดแดงใหญ่ ส่วนขั้วตับฉีกขาดบาดแผลลึก 15 เซนติเมตร และแทงถูกอกด้านหลังข้างซ้ายห่างกึ่งกลาง 14 เซนติเมตร ต่ำจากบ่า 22 เซนติเมตร แผลฉีกขาดรูปสามเหลี่ยมขนาด 1x1x0.6 เซนติเมตร ทะลุกล้ามเนื้อไม่เข้าข้างใน เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายในเวลาต่อมาปรากฏตามรายงานการตรวจศพท้ายฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจและญาติผู้ตายจับจำเลยได้ในที่เกิดเหตุ ซึ่งขณะนั้นที่ปากจำเลยแตกมีเลือดไหล ในบริเวณที่เกิดเหตุมีแสงไฟจากใต้ถุนแฟลตส่องสว่างเห็นที่เกิดเหตุได้ชัดเจน ปัญหาที่ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุหรือไม่นั้น นายสาโรจน์ ศรีละห้อย และนางปนิตาจันทร์สร้อย พยานโจทก์เบิกความว่าจำเลยขึ้นไปขอซื้อเฮโรอีนจากผู้ตายบนห้องผู้ตายบอกว่าไม่มีขาย จำเลยตบหน้าผู้ตาย ต่อมาจำเลยขึ้นไปขอซื้อเฮโรอีนจากผู้ตายอีก ผู้ตายบอกว่าไม่มี จำเลยยืนยันว่ามีคนบอกว่าผู้ตายมีเฮโรอีนขาย ผู้ตายก็บอกว่าไม่มีขาย จึงชวนกันลงมาจากบนแฟลตเพื่อพบกับคนที่บอก โดยมีนายสาโรจน์และนางปนิตาลงมาด้วย แต่ไม่พบคนบอก จำเลยจึงให้ผู้ตายหาคนที่บอกว่าผู้ตายมีเฮโรอีนขายเอาเอง แล้วจำเลยชกหน้าผู้ตายและทำร้ายนายสาโรจน์ก่อนแล้วจึงได้แทงผู้ตายนั้น เห็นว่าคำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวไม่ประกอบด้วยเหตุผล เพราะจำเลยคนเดียวไปขอซื้อเฮโรอีนในห้องผู้ตายซึ่งมีพี่น้องผู้ตายอยู่หลายคน แต่ก็ไม่มีการทะเลาะวิวาทกันอย่างใด ครั้นเมื่อจำเลยไปขอซื้อเฮโรอีนเป็นครั้งที่สอง แล้วพากันลงมาจากบนแฟลตก็มีพวกของผู้ตายหลายคนตามลงมาด้วย จึงไม่มีเหตุผลอันใดที่จะทำให้จำเลยคนเดียวกล้าชกผู้ตายและทำร้ายนายสาโรจน์พวกของผู้ตายอีก เห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อนแล้วแทงผู้ตายฝ่ายเดียว ข้อเท็จจริงน่าเชื่อตามที่จำเลยนำสืบว่า เมื่อจำเลยอ้างว่ามีคนบอกว่าผู้ตายมีเฮโรอีนขาย จึงพากันลงมาจากบนแฟลตเพื่อพบคนที่บอกว่าผู้ตายมีเฮโรอีนขายตามที่จำเลยอ้าง แต่ไม่พบบุคคลดังกล่าว จำเลยจึงพูดบ่ายเบี่ยงว่าให้ผู้ตายหาคนบอกเอาเอง น่าเชื่อว่าด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ผู้ตายและนายสาโรจน์โกรธเคืองจำเลยอย่างมาก จึงได้รุมทำร้ายจำเลยก่อน โดยจำเลยมีบาดแผลโลหิตไหลที่ปาก จำเลยจึงได้ใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงผู้ตาย ทั้งนี้ก็เพื่อให้รอดพ้นจากอันตรายที่กำลังถูกรุมทำร้าย แต่จำเลยแทงผู้ตายหลายทีและผู้ตายมีบาดแผลฉกรรจ์ดังปรากฏตามรายงานการตรวจศพ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุดังศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน