คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 203/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติศุลการ พ.ศ. 2467มาตรา 27,27 ทวิ เกี่ยวโยงไปถึงพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482มาตรา 17 ที่บัญญัติว่า “ของใด ๆ อันเนื่องด้วยความผิดตาม มาตรา 27 ฯลฯท่านให้ริบเสียสิ้น ฯลฯ” ฟ้องโจทก์จึงเป็นการฟ้องร้องคดีอันเกี่ยวด้วยของซึ่งต้องยึด เพราะไม่เสียภาษีตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 100ซึ่งถ้าโจทก์นำสืบข้อเท็จจริงได้ว่าของกลางเป็นของต่างประเทศซึ่งต้องเสียภาษีแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องพิสูจน์ต่อไปว่าของกลางดังกล่าวได้เสียภาษีถูกต้องแล้ว
พระราชบัญญัติศุลากากรพ.ศ.2469มาตรา27ที่แก้ไขเพิ่มเติมบัญญติให้ลงโทษปรับรับสำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ เป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว มิใช่ให้ปรับสำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ แล้วแบ่งปรับเป็นรายบุคคลคนละเท่า ๆ กัน หรือปรับเป็นรายบุคคลคนละสี่เท่าของราคาของรวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว ดังนั้นการที่ศาลสั่งปรับจำเลยสามคนเป็นเงินสี่เท่าของราคาของรวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว เป็นเงิน 1,280,832 บาท จึงเป็นการชอบแล้วแต่ที่ให้แบ่งปรับคนละ 426,944 บาทนั้นย่อมเป็นการไม่ถูกต้องตาม มาตรา 27ดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยร่วมกันนำสินค้าหลายรายการเข้ามาในราชอาณาจักรอันเป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติศุลกากรฯ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27, 27 ทวิ, (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 มาตรา 6, 16,17 (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2490 มาตรา 3 (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2499 มาตรา 4ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และริบของกลาง

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย (ฉบับที่ 9)พ.ศ. 2482 มาตรา 6, (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2493 มาตรา 3 จำคุกจำเลยที่ 2 ที่ 3คนละสองปี ปรับจำเลยทั้งสามเป็นเงินสี่เท่าของราคาของตามบัญชีทรัพย์ของกลางอันดับ 1-20 รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้วเป็นเงิน 1,280,832 บาท โดยให้แบ่งปรับคนละ 426,944 บาท โดยจำคุกให้รอไว้ห้าปี ริบของกลางอันดับ 1-20

จำเลยทั้งสามและโจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าหน้าที่พิสูจน์ตกอยู่แก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่าโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27, 27 ทวิ เกี่ยวโยงไปถึงพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 มาตรา 17ที่บัญญัติว่า “ของใด ๆ อันเนื่องด้วยความผิดตามมาตรา 27 ฯลฯ ท่านให้ริบเสียสิ้น ฯลฯ” ฟ้องโจทก์จึงเป็นการฟ้องร้องคดีอันเกี่ยวด้วยของซึ่งต้องยึดเพราะไม่เสียภาษีตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 100 ซึ่งถ้าโจทก์นำสืบข้อเท็จจริงได้ว่าของกลางเป็นของต่างประเทศที่ต้องเสียภาษีแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะพิสูจน์ต่อไปว่าของกลางดังกล่าวได้เสียภาษีถูกต้องแล้วกรณีหาใช่ว่าปัญหาตามฟ้องโจทก์ไม่ตรงกับพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469มาตรา 100 ดังจำเลยฎีกาโต้เถียงไม่

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยนำของกลางตามรายการท้ายฟ้องอันดับ 1-24 เข้ามาในราชอาณาจักร โดยพิสูจน์ไม่ได้ว่าได้เสียภาษีอากรแล้วหรือของดังกล่าวได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี แล้ววินิจฉัยต่อไปว่า

สำหรับสินค้าอันดับ 1 ถึง 20 ที่ศาลอุทธรณ์ปรับจำเลยทั้งสามเป็นเงินสี่เท่าของราคาของรวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว เป็นเงิน 1,280,832 บาทนั้นชอบแล้วแต่ที่ให้แบ่งปรับคนละ 426,944 บาทนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เพราะพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ที่แก้ไขเพิ่มเติมบัญญัติให้ปรับสำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ มิใช่ให้ปรับสำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ แล้วแบ่งปรับเป็นรายบุคคลคนละเท่า ๆ กัน ดังที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามา หรือปรับเป็นรายบุคคล คนละสี่เท่าของราคาของรวมค่าอากรเข้าด้วยแล้วดังที่โจทก์ฎีกา

อนึ่ง ศาลอุทธรณ์ได้กำหนดโทษจำเลยที่ 2 ที่ 3 ทั้งจำทั้งปรับ จำเลยไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนดห้าปีนั้น เห็นว่าจำเลยน่าจะหลาบจำแล้ว ไม่มีเหตุที่จะแก้ไขดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ตามฎีกาของโจทก์ที่ขอไม่ให้รอการลงโทษจำเลย

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ปรับจำเลยทั้งสามรวมกันเป็นเงิน สี่เท่าของราคาของตามบัญชีทรัพย์ของกลางท้ายฟ้องอันดับ 1 ถึง 24รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้วเป็นเงิน 1,321,136 บาท ริบของกลางตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องอันดับ 1 ถึง 24 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share