แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาซื้อขายข้อ 7 ใจความว่า ผู้ขายได้นำเงินจำนวนร้อยละ 10 ของราคาสิ่งของมามอบไว้ให้แก่ผู้ซื้อ ถ้าผู้ขายไม่ปฏิบัติตามสัญญา ผู้ซื้อจะริบเงินจำนวนนี้ ข้อ 8 มีความว่าถ้าผู้ขายไม่นำสิ่งของมอบให้แก่ผู้ซื้อเป็นการถูกต้องภายในกำหนด ผู้ขายย่อมให้ผู้ซื้อปรับเป็นเงินร้อยละ 10 ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้ส่งมอบ และข้อ 9 ความว่า นอกจากที่กล่าวแล้วในข้อ 8 ถ้าผู้ขายไม่ปฏิบัติตามสัญญาด้วยเหตุใดๆ จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ซื้อ ผู้ขายยอมรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง เช่นนี้ ข้อ 7 ใช้บังคับในกรณีผู้ขายไม่ปฏิบัติตามสัญญาเลย ข้อ 8 ใช้บังคับในกรณีผู้ขายส่งมอบสิ่งของให้แก่ผู้ซื้อ แต่ส่งมอบไม่ครบถ้วน หรือถูกต้องตามสัญญาส่วนข้อ 9 ถ้าผู้ซื้อได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ เนื่องจากการไม่ปฏิบัติตามสัญญาของผู้ขาย ผู้ขายต้องรับผิดด้วย ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยผู้ขายผิดสัญญาไม่ได้ส่งมอบสิ่งของให้แก่โจทก์ผู้ซื้อเลย โจทก์จึงมีสิทธิเพียงแต่ริบเงินที่จำเลยนำมาวาง ตามสัญญาข้อ 7 เท่านั้นจะเรียกเอาเบี้ยปรับจากจำเลยตามสัญญาข้อ 8 ไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ทำสัญญาซื้อหลอดเครื่องส่งวิทยุจากจำเลยเป็นเงิน ๙,๔๖๘ บาท มีกำหนดเวลาในการส่งมอบ จำเลยมอบเงิน ๙๔๗ บาท ไว้เป็นประกัน ถ้าจำเลยไม่นำหลอดเครื่องส่งวิทยุส่งมอบแก่โจทก์ให้เป็นการถูกต้อง จำเลยยอมให้ปรับเป็นเงินร้อยละ ๑๐ ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้ส่งมอบ จำเลยไม่ส่งของให้โจทก์ได้ตามสัญญา โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาคิดค่าปรับจากจำเลย ๙,๗๘๒.๕๘ บาท หักค่าเงินประกันออกคงเหลือค่าปรับ ๘,๘๓๕.๕๘ บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าปรับแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่สามารถส่งหลอดวิทยุให้โจทก์จึงแจ้งขอเลิกสัญญายินยอมให้ริบเงินประกัน โจทก์ยอมเลิกสัญญากับจำเลยซึ่งถ้าโจทก์ต้องไปจัดหาซื้อของใหม่ราคาสูงกว่าจำเลยจึงจะต้องชดใช้ แต่ปรากฏว่าโจทก์จัดหาซื้อได้เท่ากับราคาที่จำเลยเคยเสนอไว้ โจทก์จึงไม่เสียหาย โจทก์ไม่มีสิทธิจะปรับจำเลย เพราะไม่มีการส่งมอบสิ่งของกันเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษา
โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหามีว่าโจทก์เรียกเอาเบี้ยปรับจากจำเลยตามสัญญาข้อ ๘ ได้หรือไม่
สัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.๒ ข้อ ๗ มีความว่า เพื่อเป็นการประกันการปฏิบัติตามสัญญานี้ ผู้ขายได้นำเงินหรือหนังสือรับรองของธนาคารที่ผู้ซื้อเชื่อถือเป็นจำนวนร้อยละ ๑๐ ของราคาสิ่งของทั้งหมดเป็นเงิน ๙๔๗ บาท มามอบไว้แก่ผู้ซื้อไนวันทำสัญญานี้ เงินจำนวนนี้หรือหนังสือรับรองของธนาคาร ผู้ซื้อจะคืนให้เมื่อผู้ขายได้ปฏิบัติครบถ้วนตามสัญญาแล้ว แต่ถ้าผู้ขายละเลยเสีย ไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกำหนดในสัญญานี้ ผู้ซื้อจะรับเงินจำนวนนี้หรือเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือรับรองเป็นจำนวนเงินทั้งหมด หรือแต่บางส่วนก็ได้แล้วแต่จะเห็นสมควร ข้อ ๘ มีความว่า ถ้าผู้ขายไม่นำสิ่งของมามอบให้แก่ผู้ซื้อให้เป็นการถูกต้องภายในกำหนดตามสัญญานี้ ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นจำนวนเงินร้อยละ ๑๐ ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้ส่งมอบ โดยคิดเป็นรายเดือนจนกว่าผู้ขายจะได้นำสิ่งของนั้นๆ มาส่งให้แก่ผู้ซื้อจนครบถ้วนและถูกต้องตามสัญญา ข้อ ๙ มีความว่า นอกจากที่กล่าวแล้วในข้อ ๘ ถ้าผู้ขายไม่ปฏิบัติตามสัญญาด้วยเหตุใดๆ ก็ตามจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ซื้อแล้ว ผู้ขายยอมรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า สัญญาทั้ง ๓ ข้อดังกล่าวข้างต้นนั้น ข้อ ๗ ใช้บังคับในกรณีผู้ขายไม่ปฏิบัติตามสัญญาเลย ข้อ ๘ ใช้บังคับในกรณีผู้ขายส่งมอบสิ่งของให้แก่ผู้ซื้อ แต่ส่งมอบไม่ครบถ้วนหรือถูกต้องตามสัญญา ส่วนข้อ ๙ ถ้าผู้ซื้อได้รับความเสียหายเป็นพิเศษเนื่องจากการไม่ปฏิบัติตามสัญญาของผู้ขาย ผู้ขายต้องรับผิดด้วย ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยผู้ขายผิดสัญญาไม่ได้ส่งมอบหลอดเครื่องส่งวิทยุให้แก่โจทก์ผู้ซื้อเลย โจทก์จึงมีสิทธิเพียงแต่ริบเงินที่จำเลยนำมาวางเป็นประกันตามสัญญข้อ ๗ เท่านั้น จะเรียกเอาเบี้ยปรับจากจำเลยตามสัญญาข้อ ๘ ไม่ได้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๙๓๐/๒๕๒๑ ระหว่างกรมอาชีวศึกษา โจทก์ ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลจตุกรพาณิชย์ กับพวก จำเลย
พิพากษายืน