คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2021/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นว่าจำเลยเป็นผู้ถอนทำลายต้นไม้อีกทั้งผู้เสียหายก็มิได้ไปดูแลที่ดินพิพาทเป็นประจำ และต้นไม้ที่ผู้เสียหายปลูกในที่ดินพิพาทเป็นต้นไม้ขนาดเล็ก อายุเพียง6 เดือน หากต้นไม้ดังกล่าวต้องตายเพราะขาดการดูแลรดน้ำก่อนจำเลยบุกรุกเข้าไปก็เป็นได้ พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ถอนทำลายต้นไม้ที่ผู้เสียหายปลูกไว้ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 41 หมู่ที่ 12 ตำบลนาจะหลวย อำเภอนาจะหลวยจังหวัดอุบลราชธานีของนางสาวสารี ผิวนวน ผู้เสียหายเพื่อถือการครอบครองโดยปรับพื้นดินทำเป็นลานนวดข้าว และทำลายต้นมะม่วง3 ต้น ต้นมะนาว 2 ต้น และต้นฝรั่ง 2 ต้นรวมราคา 350 บาท ของผู้เสียหายซึ่งเป็นกสิกร เหตุเกิดที่ตำบลนาจะหลวย อำเภอนาจะหลวยจังหวัดอุบลราชธานี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358, 359,362, 365
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 359(4), 362 อันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ลงโทษจำเลยทุกกรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานทำให้เสียทรัพย์จำคุก 2 เดือน ฐานบุกรุก จำคุก 1 เดือน รวมจำคุก 3 เดือนไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ให้ลงโทษกักขัง 3 เดือน แทนโทษจำคุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ส่วนความผิดฐานบุกรุก ให้ปรับจำเลย 1,000 บาทอีกสถานหนึ่งโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยได้ถอนทำลายต้นไม้ที่ผู้เสียหายได้ปลูกไว้ในที่ดินพิพาทอันเป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์หรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหาย และนายวิชัย ผิวนวน สามีของผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่าก่อนเกิดเหตุประมาณ 6 เดือน ได้ปลูกต้นไม้รวม 7 ต้น ในที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ห่างจากบ้านผู้เสียหาย 1 กิโลเมตรเศษต่อมาวันที่ 20พฤศจิกายน 2531 มีชาวบ้านบอกผู้เสียหายกับนายวิชัยว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินพิพาท ถอนเสารั้ว ถอนต้นไม้ และทำลานนวดข้าวนายวิชัยออกจากบ้านไปดูที่ดินพิพาท เห็นจำเลยกับพวกช่วยกันถากดินทำลานนวดข้าว แต่ไม่เห็นต้นไม้ที่ปลูกไว้ เห็นว่า โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นว่า จำเลยเป็นผู้ถอนทำลายต้นไม้ดังกล่าว ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้บุกรุกเข้าไปปรับที่ดินพิพาทส่วนที่ผู้เสียหายปลูกต้นไม้ไว้เป็นลานนวดข้าวจึงเป็นที่แน่ชัดว่าจำเลยจะต้องทำลายต้นไม้นั้น ตามแผนที่เกิดเหตุ เอกสารหมาย จ.3 แผนที่พิพาทเอกสารหมาย ป.จ.อ.1 และภาพถ่ายที่เกิดเหตุหมาย จ.4 ปรากฏว่า จำเลยได้ขุดดินขึ้นมาถมท้องนาให้สูงขึ้นเพื่อทำลานนวดข้าวเป็นเนื้อที่ 64 ตารางวา ซึ่งจำต้องใช้เวลาหลายวันจึงสามารถกระทำการดังกล่าวได้การที่ผู้เสียหายเพิ่งทราบจากชาวบ้านว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปทำลานนวดข้าวหลังจากจำเลยได้กระทำการดังกล่าวแล้ว แสดงให้เห็นว่าผู้เสียหายไม่ได้ไปดูแลที่ดินพิพาทเป็นประจำ จึงไม่ทราบถึงการกระทำของจำเลยดังกล่าวก่อนหน้านั้น อนึ่งต้นไม้ที่ผู้เสียหายปลูกในที่ดินพิพาทเป็นต้นไม้ขนาดเล็ก มีอายุเพียง 6 เดือนหากต้นไม้ดังกล่าวต้องตายเพราะขาดการดูแลรดน้ำในช่วงก่อนเกิดเหตุซึ่งเป็นหน้าแล้งก็ย่อมเป็นเรื่องปกติธรรมดา ดังนั้นต้นไม้ที่ผู้เสียหายปลูกไว้อาจตายไปเพราะขาดการดูแลรดน้ำก่อนจำเลยบุกรุกเข้าไปทำลานนวดข้าวก็ได้ พยานหลักฐานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ถอนทำลายต้นไม้ที่ผู้เสียหายได้ปลูกไว้จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share