คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2019/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาค้ำประกันระบุไว้ว่า เมื่อจำเลยที่ 1 เข้าปฏิบัติงานกับโจทก์แล้วภายหลังทำให้ทรัพย์สินของโจทก์สูญหาย หรือเสียหายด้วยประการใด ๆ ก็ดี ฉ้อโกงหรือยักยอกก็ดี จำเลยที่ 2 ยอมรับชดใช้แทนจำเลยที่ 1 จนครบถ้วน การที่โจทก์ให้จำเลยที่ 1 ไปช่วยเก็บเงินจากลูกค้าให้แก่บริษัท ส. จำเลยที่ 1 เก็บเงินจากลูกค้าของบริษัท ส. แล้วไม่นำไปมอบให้แก่บริษัท ส. ดังนี้ จำเลยที่ 1 มิได้ทำให้ทรัพย์สินของโจทก์สูญหายหรือเสียหายและจำเลยที่ 1 ก็มิได้ฉ้อโกงหรือยักยอกทรัพย์ของโจทก์ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าว การที่โจทก์ชดใช้เงินแก่บริษัท ส. แทนจำเลยที่ 1 จะถือว่าเป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 ทำให้ทรัพย์สินของโจทก์สูญหายหรือเสียหายตามถ้อยคำในสัญญาค้ำประกันมิได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ลูกจ้างของโจทก์ยักยอกเงินของบริษัท ส. ทำให้โจทก์ต้องชดใช้เงินแก่บริษัท ส. จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงินคืนพร้อมดอกเบี้ย

จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์ไม่ได้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานกลาง โจทก์มอบหมายให้จำเลยที่ 1 ไปเรียกเก็บเงินจากลูกค้าให้แก่บริษัท ส. จึงไม่ใช่งานของโจทก์ โจทก์ไม่ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิด การที่โจทก์ชดใช้เงินแทนจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำตามอำเภอใจชำระหนี้โดยรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกคืนจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดด้วย

ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 495,024 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 19พฤศจิกายน 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ (แต่ดอกเบี้ยก่อนฟ้องให้คิดได้ไม่เกิน 23,903 บาท)

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว สำหรับปัญหาที่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ว่า การที่โจทก์ให้จำเลยที่ 1 ไปช่วยเก็บเงินจากลูกค้าให้แก่บริษัทสยามแบริ่งอินเตอร์เทรด จำกัด แล้วไม่นำไปมอบให้แก่บริษัทสยามแบริ่ง อินเตอร์เทรด จำกัด ถือว่าเป็นเหตุการณ์อีกเรื่องหนึ่ง มิใช่กิจหน้าที่ที่โจทก์ได้มอบให้จำเลยที่ 1 ไปกระทำ โจทก์จึงไม่ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่โจทก์ชดใช้เงินให้แก่บริษัทสยามแบริ่ง อินเตอร์เทรด จำกัด แทนจำเลยที่ 1 ไป จึงเป็นการกระทำตามอำเภอใจชำระหนี้โดยโจทก์รู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีความผูกพันต้องชำระ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินคืนจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นความรับผิดด้วย ทั้งจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันยอมผูกพันต่อโจทก์เพื่อชำระหนี้ที่จำเลยที่ 1 ได้กระทำความเสียหายหรือละเมิดต่อโจทก์แล้วจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ค่าเสียหายแก่โจทก์เท่านั้น หาได้ผูกพันตนต่อบริษัทสยามแบริ่งอินเตอร์เทรด จำกัด แต่อย่างใดไม่ จำเลยที่ 1 กระทำละเมิดก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัทสยามแบริ่ง อินเตอร์เทรด จำกัด มิใช่ต่อบริษัทโจทก์ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์แต่อย่างใดนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 ไว้กับโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.5 ซึ่งตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าวข้อ 1 ระบุไว้ความว่า เมื่อจำเลยที่ 1 เข้าปฏิบัติงานกับโจทก์แล้วภายหลังทำให้ทรัพย์สินของโจทก์สูญหายหรือเสียหายด้วยประการใด ๆ ก็ดี ฉ้อโกงหรือยักยอกก็ดี จำเลยที่ 2 ยอมรับชดใช้แทนจำเลยที่ 1 จนครบถ้วน ดังนี้ ความรับผิดของจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันที่จะชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์แทนจำเลยที่ 1 จักต้องเป็นไปตามถ้อยคำในสัญญาค้ำประกันนั้น กล่าวคือ จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน เมื่อจำเลยที่ 1 ทำให้ทรัพย์สินของโจทก์สูญหายหรือเสียหาย หรือจำเลยที่ 1 ฉ้อโกงหรือยักยอกทรัพย์ของโจทก์เท่านั้น คดีนี้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์มอบหมายให้จำเลยที่ 1 เก็บเงินจากลูกค้าของบริษัทสยามแบริ่ง อินเตอร์เทรด จำกัด จำเลยที่ 1 เก็บเงินจากลูกค้าแล้วไม่นำไปมอบให้แก่บริษัทสยามแบริ่ง อินเตอร์เทรด จำกัด ดังนี้ จำเลยที่ 1 จึงมิได้ทำให้ทรัพย์สินของโจทก์สูญหายหรือเสียหาย และจำเลยที่ 1 ก็มิได้ฉ้อโกงหรือยักยอกทรัพย์ของโจทก์จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าว การที่โจทก์ได้ชดใช้เงินให้แก่บริษัทสยามแบริ่ง อินเตอร์เทรด จำกัด แทนจำเลยที่ 1 จะถือเอาว่าเป็นกรณีที่จำเลยที่ 1ทำให้ทรัพย์สินของโจทก์สูญหายหรือเสียหายตามถ้อยคำในสัญญาค้ำประกันมิได้ หากโจทก์ประสงค์จะให้จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันต้องรับผิดในกรณีดังกล่าวด้วยก็ต้องระบุไว้ให้ชัดแจ้งในสัญญาค้ำประกัน หากไม่ได้ระบุไว้ก็ต้องตีความให้เป็นคุณแก่จำเลยที่ 2ผู้ค้ำประกันว่าจะต้องรับผิดเฉพาะกรณีที่ระบุไว้ในสัญญาค้ำประกันเท่านั้น อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังขึ้น กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่น ๆ ของจำเลยที่ 2 ต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยน

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

Share