แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ยังไม่มีกรรมสิทธิ์เหนือที่พิพาท เพราะไม่มีหลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ดังนี้จำเลยจะฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ระบุแสดงสภาพที่ดินว่าติดที่ดินผู้ใด แต่ละด้านกว้างยาวเท่าใดและแจ้งการครอบครองเมื่อใด ไม่ได้ เพราะเหตุที่จำเลยยกขึ้นอ้างว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนี้เป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าที่พิพาทเป็นที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดิน ศาลก็พิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โจทก์ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่พิพาท จำเลยคัดค้านจึงขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยกับบริวารเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ยังไม่มีกรรมสิทธิ์เหนือที่พิพาท จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ที่พิพาทโจทก์มีสิทธิครอบครองห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ระบุแสดงสภาพที่ดินว่าติดที่ดินผู้ใด แต่ละด้านกว้างยาวเท่าใด แจ้งการครอบครองเมื่อใดนั้น พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าจำเลยให้การแต่เพียงว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ยังไม่มีกรรมสิทธิ์เพราะไม่มีหลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ดังนั้นข้อกล่าวอ้างที่จำเลยหยิบยกขึ้นฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมจึงเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้หยิบยกขึ้นว่ากล่าวแต่ศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่พิพาทตามฟ้องโจทก์มีกรรมสิทธิ์ หาได้ขอให้พิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ศาลพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองนอกเหนือจากที่โจทก์ขอ จึงเป็นการมิชอบ นั้น พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่โจทก์จึงไม่อาจมีกรรมสิทธิ์เหนือที่พิพาทได้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ศาลย่อมพิพากษาให้โจทก์มีสิทธิครอบครองเหนือที่พิพาทได้ ไม่เป็นการเกินคำขอ
พิพากษายืน