คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2012/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จะพิจารณาว่าฟ้องแย้งเคลือบคลุมหรือไม่ต้องพิจารณาคำให้การและฟ้องแย้งทั้งฉบับรวมกัน(คำให้การและฟ้องแย้งที่จำเลยขอให้บังคับโจทก์ปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายที่ดินที่ถือได้ว่ามิได้ขัดกันหรือแย้งกันเป็นสองฝักสองฝ่าย เป็นฟ้องแย้งที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ประกอบด้วยมาตรา 177)
โจทก์ผู้ซื้อทำสัญญาซื้อขายและมัดจำที่ดินซึ่งมีสภาพเป็นป่าที่จำเลยผู้ขายใช้สิทธิครอบครองอยู่เพื่อมาบุกเบิกให้เตียนใช้ทำประโยชน์ได้เอาเองทั้งนี้โดยไม่มีเจตนาที่จะไปทำการโอนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อได้มีการตรวจสอบการกั้นเขตและวัดอาณาเขตที่ดินดังกล่าวทั้งสี่ด้านและคำนวณเนื้อที่ได้ตามที่ตกลงกันและจำเลยได้ส่งมอบที่ดินที่ซื้อขายให้โจทก์แล้ว แม้ต่อมาได้มีผู้อื่นบุกรุกเข้าทำประโยชน์ในที่ดินนั้นทั้งแปลงจนโจทก์ไม่สามารถเข้าครอบครองถากถางให้แล้วเสร็จได้ตามเงื่อนไขการชำระเงินในสัญญาที่ว่าเมื่อโจทก์ถากถางแล้วเสร็จจะได้มาจ่ายเงินให้ครบตามสัญญาให้กับจำเลยก็ตาม ย่อมเป็นความผิดของโจทก์เองที่ไม่รีบเข้าถากถางครอบครองเสียปล่อยปละละเลยจนเสียสิทธิไปอันไม่ใช่ความผิดของจำเลยโจทก์จึงต้องชำระเงินส่วนที่เหลือตามสัญญาให้แก่จำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาขายที่ดินให้โจทก์และรับเงินมัดจำไปแล้วในวันทำสัญญา ๑๐๐,๐๐๐ บาท และต่อมาได้รับเงินไปจากโจทก์อีก ๑๐๐,๐๐๐ บาท ปรากฏว่าจำเลยไม่จัดการขายที่ดินให้โจทก์ตามสัญญา โจทก์จึงได้บอกเลิกสัญญาขอให้บังคับจำเลยคืนเงินที่รับไปแล้วพร้อมดอกเบี้ยและค่าเสียหายรวมทั้งสิ้น ๓๕๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินอันเป็นมูลแห่งหนี้การซื้อขายรายนี้ความจริงจำเลยได้ส่งมอบให้โจทก์และนางกิ่งกาญน์ แล้วตั้งแต่วันทำสัญญาที่ดินตามสัญญาผู้ซื้อทราบดีแต่ก่อนทำสัญญาว่าจำเลยมีเพียงสิทธิครอบครองไม่มีเอกสารสิทธิให้มีการโอนกันได้นอกจากส่งมอบการครอบครองเท่านั้นที่ทำสัญญามัดจำไว้ก็เพียงเพื่อที่จะอำพรางสัญญาซื้อขายสิทธิในที่ดินเท่านั้นไม่มีเจตนาที่จะให้มีผลเป็นสัญญามัดจำแต่อย่างใด สัญญาดังกล่าวจึงไม่อาจนำมาใช้บังคับตามกฎหมายได้ แม้จะฟังว่าสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญามัดจำจริงแต่เมื่อจำเลยส่งมอบที่ดินดังกล่าวให้แล้วโจทก์จึงต้องดูแลที่ดินของตนและชำระเงินส่วนที่เหลือให้จำเลย จำเลยไม่จำต้องคืนเงินที่รับมาเป็นการชำระหนี้จากการขายสิทธิในที่ดินคืนแก่โจทก์ มูลหนี้รายนี้เกิดจากสัญญาซื้อขายซึ่งโจทก์มาใช้สิทธิเกิดกำหนดเวลาตามที่กฎหมายกำหนด แม้หากจะฟังว่ายังมีอยู่จริงก็ขาดอายุความฟ้องร้อง จำเลยมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา ขอให้บังคับโจทก์รับผิด ชำระเงินส่วนที่เหลือตามสัญญาแก่จำเลย ๑๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งของจำเลยเคลือบคลุมเป็นการให้การสองฝักสองฝ่ายไม่มีประเด็น จำเลยต้องคืนเงินแก่โจทก์ตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องแย้งเคลือบคลุม คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความสัญญาเอกสารท้ายฟ้องมีผลบังคับได้ในลักษณะสัญญาจะซื้อขาย มิใช่โจทก์ ๒๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย คำขอของโจทก์นอกจากนี้และฟ้องแย้งของจำเลยให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ซื้อที่ดินที่มีสภาพเป็นป่าที่จำเลยใช้สิทธิครอบครองอยู่มาบุกเบิกให้เตียนใช้ทำประโยชน์ได้เอาเอง การซื้อขายที่ดินตามฟ้องโจทก์จำเลยไม่มีเจตนาที่จะไปทำการโอนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ คู่กรณีได้ทำการตรวจสอบที่ดินวัดระยะแต่ละด้านแล้วคำนวนได้เนื้อที่ตามที่ตกลงกันแล้ว
วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า จะพิจารณาฎีกาของจำเลยในข้อแรกก่อนว่าฟ้องแย้งของจำเลยเคลือบคลุมหรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวเห็นว่า การที่จะพิจารณาว่าฟ้องแย้งเคลือบคลุมหรือไม่ ต้องพิจารณาคำให้การและฟ้องแย้งทั้งฉบับรวมกันไปซึ่งคำให้การและฟ้องแย้งจำเลยบรรยายว่า ที่ดินอันเป็นมูลกรณีแห่งหนี้การซื้อขายรายนี้ตามความเป็นจริงแล้วจำเลยได้ส่งมอบให้แก่โจทก์และนางกิ่งกายจน์ ทิพยะวัฒน์แล้วตั้งแต่วันทำสัญญาซึ่งปรากฏชัดเจนในข้อ ๒ และข้อ ๓ ของสัญญาท้ายฟ้องหมายเลข ๑ ของโจทก์เอง และต่อมาในวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๑๖ เมื่อจำเลยได้นำโจทก์และนางกิ่งกาญจน์ผู้ซื้อทั้งสองไปชี้แนวเขตที่ดินและวัดได้ประมาณ ๑,๐๐๐ ไร่แล้วผู้ซื้อทั้งสองจึงได้ชำระเงินให้แก่จำเลยอีก ๑๐๐,๐๐๐๐ บาท ปรากฏตามใบต่อสัญญาเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๑ ของโจทก์โดยผู้ซื้อทั้งสองให้สัญญาว่าจะนำเงินส่วนที่เหลือมาชำระให้จำเลยใน ๑ ปี นับแต่วันชี้แนวเขตที่ดิน เมื่อถึงเวลาตามที่ตกลงกันไว้ผู้ซื้อทั้งสองก็มิได้นำเงินส่วนที่เหลืออีก ๑๕๐,๐๐๐ บาท มาชำระให้แก่จำเลย ที่ดินตามสัญญาผู้ซื้อทั้งสองทราบดีอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนทำสัญญาว่า จำเลยมีเพียงสิทธิครอบครอง ไม่มีเอกสารสิทธิอื่นใดอันจะทำให้จำเลยสามารถโอนที่ดินตามสัญญาตามความเข้าใจของโจทก์ให้แก่ผู้ซื้อทั้งสองได้ นอกจากการส่งมอบการครอบครองกันเท่านั้น จึงมิได้กำหนดวันโอนกรรมสิทธิ์ไว้ในสัญญา เห็นว่าข้อความที่จำเลยบรรยายดังกล่าวนี้เป็นการเล่าข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยมีความผูกพันต่อกันอันเป็นมูลที่มาของสัญญามัดจำท้ายฟ้อง (เอกสารหมาย จ.๑) และที่จำเลยบรรยายต่อไปว่าสาเหตุที่ทำสัญญามัดจำไว้ก็เพียงเพื่อที่จะอำพรางสัญญาซื้อขายสิทธิในที่ดินเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะให้มีผลเป็นสัญญามัดจำแต่อย่างใด สัญญาดังกล่าวจึงไม่อาจนำมาใช้บังคับกันตามกฎหมายได้ แม้จะฟังว่าเป็นสัญญามัดจำจริงแต่เมื่อจำเลยได้ส่งมอบที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้ซื้อทั้งสองอันเป็นการปฏิบัติตามสัญญาแล้วเป็นหน้าที่ของผู้ซื้อทั้งสองที่จะต้องดูแลที่ดินของตนและชำระเงินส่วนที่เหลือแก่จำเลย เห็นว่าการบรรยายข้อความดังกล่าวนี้เป็นความเห็นในข้อกฎหมายของจำเลยที่ยกเอาข้อเท็จจริงที่กล่าวในตอนแรกมาปรับบทว่า เป็นนิติกรรมอำพราง แม้จะฟังว่าเป็นสัญญามัดจำ จำเลยก็ปฏิบัติตามสัญญาแล้ว คือส่งมอบที่ดินที่ซื้อขายให้โจทก์แล้วคำให้การดังกล่าวนี้มิได้ขัดกันหรือแย้งกันเป็นสองฝักสองฝ่ายแต่ประการใดเพราะข้อเท็จจริงที่จำเลยกล่าวอ้างเป็นการขายสิทธิครอบครอง จำเลยได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินให้โจทก์แล้ว มิได้มีเจตนาที่จะต้องไปทำการโอนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด และที่จำเลยบรรยายต่อไปอีกว่า จำเลยขอฟ้องแย้งโจทก์ดังนี้จำเลยขอใช้สิทธิตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๑ ของโจทก์ ให้โจทก์รับผิดชำระเงินส่วนที่เหลือแก่จำเลยเป็นเงิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ย นั้นเห็นว่าการที่จำเลยอ้างสิทธิตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๑ นี้เป็นเพราะจำเลยเข้าใจในข้อกฎหมายว่าเอกสารนี้เป็นนิติกรรมอำพราง แม้จะฟังว่าเป็นสัญญามัดจำ จำเลยก็ปฏิบัติตามสัญญาแล้วซึ่งมิได้ขัดแย้งกันดังวินิจฉัยแล้ว โดยจำเลยอ้างว่าเป็นการขายสิทธิครอบครอง จำเลยได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินให้โจทก์แล้ว โจทก์ต้องชำระค่าที่ดินที่เหลือ เป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น เป็นฟ้องแย้งที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ ประกอบด้วยมาตรา ๑๗๗ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ดังคำเบิกความของจำเลย เห็นว่า ที่มีการตรวจสอบการกั้นเขตและวัดอาณาเขตที่ดินทั้งสี่ด้านและคำนวณเนื้อที่ได้ ๑,๐๐๐ ไร่ ตามที่ตกลงกันแล้วเช่นนี้ฟังได้ว่าจำเลยได้ส่งมอบที่ดินที่ซื้อขายให้โจทก์แล้ว เป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องชำระเงินค่าที่ดินที่ค้างอยู่อีก ๑๕๐,๐๐๐ บาท ให้จำเลยถึงแม้ในสัญญาตามเอกสารหมาย จ.๑ ข้อ ๓ จะกำหนดเงื่อนไขการชำระเงินไว้ว่า “เมื่อผู้ถือสัญญา (โจทก์) ถากถางแล้วเสร็จวัดอาณาเขตได้ประมาณ ๑,๐๐๐ ไร่ ผู้ถือสัญญาจะได้มาจ่ายเงินให้ครบตามจำนวนที่ตกลงกันตามเนื้อที่เป็นจริงให้กับผู้ให้สัญญา (จำเลย) ซึ่งข้อเท็จจริงตามสำนวนปรากฏว่าหลังจากจำเลยมอบที่ดินที่ซื้อขายให้โจทก์เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๑๖ แล้ว ต่อมาได้มีผู้อื่นบุกรุกเข้าทำประโยชน์ในที่ดินนั้นทั้งแปลง โจทก์ไม่สามารถเข้าครอบครองถากถางให้แล้วเสร็จได้ตามเงื่อนไขการชำระเงินก็ตาม เห็นว่าเป็นความผิดของโจทก์เองที่ไม่รับเข้าถากถางครอบครองเสียปล่อยปละละเลยจนเสียสิทธิไป อันไม่ใช่ความผิดของจำเลย โจทก์ต้องชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้จำเลย ส่วนเรื่องค่าเสียหายนั้น จำเลยนำสืบว่าเมื่อโจทก์ชำระเงินงวดที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๑๖ แล้ว เงินจำนวนที่เหลือ ๑๕๐,๐๐๐ บาท ขอผัดชำระในต้นปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ถึงกำหนดโจทก์ไม่ชำระจำเลยเคยติดต่อทวงถามโจทก์ขอผัดเรื่อยมาแสดงว่าโจทก์ขอผัด ำจเลยก็ยอมให้ผัด ฟังไม่ได้ว่าโจทก์ผิดนัด แต่เมื่อเป็นหนี้เงินเห็นสมควรให้จำเลยได้รับชดใช้ค่าเสียหายร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งคดีไม่จำเป็นต้องพิจารณาประเด็นข้ออื่น ๆ ฎีกาจำเลยฟังขึ้นเป็นบางข้อ
พิพากษากลับเป็นว่า ให้โจทก์ชำระเงินค่าที่ดินที่ค้างชำระอีก ๑๕๐,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยยกฟ้องของโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share