คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2010/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยฎีกาประสงค์จะให้ศาลฎีการับฟังข้อเท็จจริงว่าเหตุเกิดตามวันเวลาที่ผู้เสียหายเบิกความซึ่งแตกต่างไปจากที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาดังนี้ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284, 309, 310 ว่าเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทอันเป็นการแก้ไขเล็กน้อยเมื่อศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกจำเลยในความผิดฐานนี้ไม่เกิน 5 ปีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
จำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนขู่เข็ญและใช้กำลังฉุดผู้เสียหายจากในซอย ให้ขึ้นรถยนต์แล้วพาไปถึงโรงแรมแต่ผู้เสียหายหนีออกมาได้ การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียววาระเดียวโดยมีเจตนาเพียงอย่างเดียวคือการพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารเท่านั้นแต่โดยลักษณะของการกระทำคือ การบังคับพาเอาตัวผู้เสียหายจากที่แห่งหนึ่งไปยังที่อีกแห่งหนึ่งเช่นนี้ ย่อมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 และ 310 อยู่ในตัวการกระทำความผิดของจำเลยในส่วนนี้จึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทต้องใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 เนื่องจากการพิมพ์ผิดพลาดไปศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525 มาตรา 4มาด้วยตามคำขอของโจทก์นั้นปรากฏว่าจำเลยกระทำความผิดก่อนที่กฎหมายฉบับนี้จะออกมามีผลบังคับใช้โดย เพิ่มอัตราโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 ให้สูงขึ้นกฎหมายฉบับนี้จึงเป็นกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด และมิได้เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดจะนำมาปรับบทลงโทษจำเลยด้วยหาได้ไม่เมื่อศาลอุทธรณ์มิได้แก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นในเรื่องนี้ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๔, ๓๐๙, ๓๑๐, ๓๗๑, ๘๓, ๙๑ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๒๕ มาตรา ๔ พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๘ ทวิ, ๗๒ ทวิ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยผิดตามฟ้อง ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๒๖ มาตรา ๔ ฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารจำคุก ๓ ปี ฐานทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพและหน่วงเหนี่ยวกักขัง จำคุก ๒ ปี ฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก ๒ ปี ฐานพกพาอาวุธปืน ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีบทลงโทษหนักที่สุด จำคุก ๑ ปีรวมจำคุก ๘ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร และฐานทำให้เสียเสรีภาพเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ซึ่งเป็นบทหนักจำคุก ๓ ปี เมื่อรวมกับโทษข้อหามีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่รับอนุญาตและพกพาอาวุธปืนแล้ว รวมจำคุก ๖ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาว่าโจทก์ฟ้องอ้างว่าเหตุเกิดเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๒๔ แต่ผู้เสียหายเบิกความว่าเหตุเกิดเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๒๔ ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องซึ่งเป็นข้อสาระสำคัญและทำให้จำเลยหลงต่อสู้ เห็นว่า ศาลอุทธรณ์รับฟังข้อเท็จจริงว่าเหตุคดีนี้เกิดเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๒๔ ตามที่โจทก์ฟ้อง ที่ผู้เสียหายเบิกความว่าเหตุเกิดเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๒๔ อาจเป็นเพราะผู้เสียหายหลงลืมไป ฎีกาของจำเลยประสงค์จะให้ศาลฎีการับฟังข้อเท็จจริงว่าเหตุเกิดในวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๒๔ ซึ่งแตกต่างไปจากที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแกก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๔, ๓๐๙, ๓๑๐ ว่าเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทอันเป็นการแก้ไขเล็กน้อย เมื่อศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกจำเลยในความผิดฐานนี้ไม่เกิน ๕ ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘
โจทก์ฎีกาข้อแรกในปัญหาข้อกฎหมายว่า การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้ายนั้นเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๔ กรรมหนึ่ง และเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๙, ๓๑๐ อีกกรรมหนึ่ง ขอให้ลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนี้ ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๒ ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าวันเกิดเหตุเวลาประมาณ ๙ นาฬิกา จำเลยกับพวกอีกคนหนึ่งได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนขู่เข็ญและใช้กำลังฉุดผู้เสียหายจากในซอยวิทยาลัยครูเพชรบุรี ถนนเพชรบุรี ให้ขึ้นรถยนต์แล้วพาไปถึงโรงแรมเทียนทองบริเวณสถานีรถไฟหัวลำโพง แต่ผู้เสียหายหลบหนีออกมาได้ ศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียววาระเดียว โดยมีเจตนาเพียงอย่างเดียวคือการพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารเท่านั้น แต่โดยลักษณะของการกระทำคือการบังคับพาเอาตัวผู้เสียหายจากที่แห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง เช่นนี้ย่อมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๙ และมาตรา ๓๑๐ อยู่ในตัวการกระทำความผิดของจำเลยในส่วนนี้จึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทซึ่งต้องใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐
โจทก์ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ เป็นการคลาดเคลื่อน ขอให้ศาลฎีกาแก้เป็นมาตรา ๒๘๔ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาเช่นนั้นเนื่องจากการพิมพ์ผิดพลาดไป สมควรที่จะแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
อนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๒๕ มาตรา ๔ มาด้วยตามคำขอของโจทก์นั้นปรากฏว่าจำเลยกระทำความผิดเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๒๔ ก่อนที่กฎหมายฉบับนี้จะออกมามีผลบังคับใช้โดยเพิ่มอัตราโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๔ ให้สูงขึ้น กฎหมายฉบับนี้ จึงเป็นกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดและมิได้เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดจะนำมาปรับบทลงโทษจำเลยด้วยหาได้ไม่เมื่อศาลอุทธรณ์มิได้แก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นในเรื่องนี้ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารฐานทำให้เสียเสรีภาพ และฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นนั้น จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๔, ๓๐๙, ๓๑๐ ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๔ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share