คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 201/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340
แม้จำเลยให้การรับสารภาพต่อศาลโจทก์ก็ยังมีหน้าที่นำสืบให้เป็นที่เชื่อได้ว่าจำเลยกระทำผิดจริง ศาลจึงจะลงโทษได้จะฟังเอาคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนมาเป็นเหตุลงโทษจำเลยไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ฐานปล้นทรัพย์และทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนเกิดอันตรายแก่กาย และขอให้เพิ่มโทษจำเลยเนื่องจากจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน และมาทำผิดในคดีนี้ภายใน 5 ปีอีกด้วย

จำเลยให้การปฏิเสธ ส่วนข้อต้องโทษและพ้นโทษรับว่าเป็นความจริง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยกับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส เพื่อสะดวกในการเอารถยนต์กับทรัพย์อื่นของผู้เสียหายไป แต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายถึงสาหัส ให้จำคุกจำเลย 12 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรค 2 และมาตรา 83 เพิ่มโทษ 1 ใน 3 ตามมาตรา 92 เป็นจำคุก 16 ปี จำเลยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวน เป็นเหตุบรรเทาโทษลดให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 10 ปี 8 เดือน ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ของกลางริบ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ไม่เชื่อว่าพยานโจทก์จะจำคนร้ายได้ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ยังฟังไม่หนักแน่นมั่นคงพอฟังลงโทษจำเลยได้ แม้โจทก์จะมีคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลย หลักฐานข้อนี้ของโจทก์ จำเลยก็นำสืบปฏิเสธว่ามิได้เกิดขึ้นโดยความสมัครใจ ทั้งคดีนี้เป็นคดีมีโทษสูง แม้จำเลยให้การรับสารภาพต่อศาล โจทก์ก็ยังมีหน้าที่นำสืบให้เป็นที่เชื่อได้ว่าจำเลยกระทำผิดจริง (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176) ศาลจึงจะลงโทษได้ จะฟังเอาคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนมาเป็นเหตุลงโทษจำเลยไม่ได้

พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์

Share