คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2009/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรมพลาธิการทหารบกและกรมยกกระบัตรทหารบก แม้จะเรียกว่า”กรม” แต่ตามกฎหมายถือเพียงเป็นส่วนหนึ่งในกองทัพบก ซึ่งเป็นกรมเท่านั้น จึงไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล โจทก์จะฟ้องให้รับผิดชอบฐานเป็นนิติบุคคลไม่ได้
เมื่อศาลคำนวณว่าค่าปรับที่จำเลยปรับเอาแก่โจทก์ตามสัญญา ในการที่โจทก์ส่งของให้ไม่ถูกต้อง โดยเทียบกับค่าปรับทั้งหมดที่จะปรับเอาแก่โจทก์ได้ เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามสัญญาเลย ถ้าเห็นสูงเกินไป ศาลอาจลดค่าปรับลงเท่าที่เห็นสมควรได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องว่า โจทก์เป็นบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์รับโอนกิจการทั้งหมดรวมทั้งสิทธิเรียกร้อง และหน้าที่อันจะพึงเกิดขึ้นจากสัญญาซื้อขาย 3 ฉบับ ท้ายฟ้องที่พิพาทกันในคดีนี้ ของร้านทิฆัมพร ซึ่ง นางสุนีรัตน์ เตลาน เป็นเจ้าของมาดำเนินกิจการต่อไป จำเลยที่ 1 ที่ 2-3-4 เป็นกระทรวงกรมกองของราชการของรัฐบาล ซึ่งเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย จำเลยที่ 5 เป็นนายทหารประจำการอยู่ในกรมยกกระบัตรทหารบก มีหน้าที่เป็นแม่กองจัดซื้อในกรมยกกระบัตรทหารบก เพื่อประโยชน์ในราชการในฐานะเป็นตัวแทนจำเลยที่ 1-2-3-4 จำเลยที่ 5 ได้ซื้อสิ่งของต่าง ๆ ของร้านทิฆัมพร โดยจำเลยที่ 5 เป็นผู้ลงนามในสัญญาซื้อขายกับนางสาวชนัตต์เตลาน ผู้จัดการร้านทิฆัมพร คือ สัญญาซื้อขายที่ 17/2488-36/2488และ 40/2488 รวม 3 รายการ เป็นเงิน 3,585,000 บาท ร้านทิฆัมพรได้วางมัดจำไว้กับจำเลยเพื่อประกันในการปฏิบัติ 55,700 บาท ซึ่งจะต้องคืนเมื่อได้ปฏิบัติตามสัญญาครบถ้วนแล้ว

เมื่อถึงกำหนด โจทก์ได้ส่งสิ่งของครบ และจำเลยก็ชำระราคาให้แล้ว แต่จำเลยกลับหาว่าโจทก์ผิดสัญญาส่งของช้ากว่ากำหนด จะปรับจำเลยบังคับให้จำเลยนำเงินส่งฝากไว้เพื่อค่าปรับ ซึ่งจะคิดกันภายหลัง โจทก์จึงนำเงินฝากจำเลยไว้ แต่ พ.ศ. 2489 ถึง 2490รวม 277,423 บาท 78 สตางค์ ซึ่งความจริงโจทก์ได้ส่งของครบทันเวลา หากมีบางสิ่งจำเลยขอให้โจทก์นำไปแก้ไข โจทก์เอื้อเฟื้อนำไปแก้ไขให้ ในการพิจารณาข้อโต้เถียง ซึ่งมีกันหลายคราวครั้งสุดท้ายจำเลยตกลงค่าปรับเอาแก่โจทก์เพียง 14,162 บาท 78สตางค์ ซึ่งโจทก์ตกลงด้วย ต่อมาเนื่องมาจากเหตุขัดข้องซึ่งเป็นเรื่องภายในของจำเลย ๆ ไม่สามารถเอาเงินคืนมาให้โจทก์ได้จึงแกล้งมากล่าวว่าโจทก์ผิดสัญญา โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยให้ศาลบังคับตามโจทก์ให้คืนเงินมัดจำ และค่าปรับตามที่ตกลงไว้

จำเลยให้การว่า จำเลยที่ 3 ที่ 4 ไม่ใช่นิติบุคคล โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 5 ซึ่งมีฐานะเป็นตัวแทนให้รับผิด สิทธิเรียกร้องตามสัญญา 3 ฉบับท้ายฟ้องไม่โอนมาเป็นของโจทก์ และการโอนมาก็มิได้บอกกล่าวให้จำเลยทราบเป็นหนังสือจำเลยจึงไม่ต้องรับผิด จำเลยไม่เคยขอให้โจทก์นำสิ่งของไปแก้ไขเปลี่ยนแปลง โจทก์ส่งของเกินกำหนดในสัญญา โจทก์จึงยอมให้หักเงินราคาสิ่งของเป็นค่าปรับ และยอมให้ริบมัดจำจำเลยไม่เคยตกลงจะปรับโจทก์เพียง 14,162 บาท 78 สตางค์ ฯลฯ และคดีโจทก์ขาดอายุความจึงขอให้ศาลยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ให้พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยดังนี้

1. โจทก์ฎีกาว่า กรมพลาธิการทหารบกจำเลยที่ 3 กรมยกกระบัตรทหารบกจำเลยที่ 4 เป็นกรมในรัฐบาล นับว่าเป็นทบวงการเมืองเป็นนิติบุคคลจึงถูกฟ้องคดีได้ ศาลฎีกาว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 73 กรมในรัฐบาลซึ่งจะเป็นนิติบุคคลนั้น จะต้องอยู่ในบังคับ มาตรา 74 ด้วย คือ ต้องเป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับทั้งปวงว่าด้วยการนั้น ๆ ซึ่งมีการจัดควบคุมทบวงการเมือง จำเลยที่ 3-4เป็นหน่วยราชการของกองทัพบกขึ้นอยู่ในกระทรวงกลาโหม และตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2495 มาตรา 18วรรคสุดท้ายว่า การจัดระเบียบบริหารราชการในกระทรวงอันเกี่ยวกับการทหารให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น พระราชบัญญัติจัดระเบียบป้องกันราชอาณาจักร พ.ศ. 2491 มาตรา 14 บัญญัติว่าให้กองทัพบกมีฐานะเป็นนิติบุคคล และตามพระราชกฤษฎีกาจัดวางระเบียบราชการกองทัพบกในกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2491 มาตรา 3 ข้อ 4 กรมพลาธิการทหารบกให้จัดเป็นหน่วยหนึ่งขึ้นอยู่ในกองทัพบก และตาม มาตรา 7 ข้อ 1 กรมยกกระบัตรทหารบกได้จัดเป็นหน่วยราชการที่ขึ้นแก่กรมพลาธิการทหารบกเท่านั้นหาได้จัดให้เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายไม่แม้ต่อมาจะได้มีพระราชกฤษฎีกาจัดวางระเบียบราชการกองทัพบกในกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2495 ยกเลิกพระราชกฤษฎีกาจัดวางระเบียบราชการกองทัพบกในกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2491 และต่อมามีพระราชกฤษฎีกาจัดวางระเบียบราชการกองทัพบกในกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2498 ยกเลิกพระราชกฤษฎีกาจัดวางระเบียบราชการกองทัพบกในกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2495 เสียแล้ว ก็ดี ตามพระราชกฤษฎีกาฯพ.ศ. 2495 พ.ศ. 2498 ก็ดี หาได้บัญญัติให้กรมพลาธิการทหารบกเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายไม่ ถึงแม้ขณะนี้ได้มีพระราชบัญญัติจัดระเบียบป้องกันราชอาณาจักร พ.ศ. 2500 ออกแล้ว โดยให้ยกเลิกพระราชบัญญัติจัดระเบียบป้องกันราชอาณาจักรตลอดรวมทั้ง 5 ฉบับ ที่ประกาศใช้อยู่ก่อนแล้วก็ดี ตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบป้องกันราชอาณาจักร พ.ศ. 2500 ฉบับใหม่ตามมาตรา 17 ก็คงบัญญัติให้กองทัพบก ฯลฯ มีฐานะเป็นนิติบุคคลเท่านั้น ฉะนั้น กรมพลาธิการทหารบกจำเลยที่ 3 และกรมยกกระบัตรทหารบกจำเลยที่ 4 ที่โจทก์ฟ้องจึงหาใช่เป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 72-73 ไม่ โจทก์จึงขอให้จำเลยที่ 3-4 รับผิดตามฟ้องของโจทก์ไม่ได้

ฯลฯ

10. ที่โจทก์ฎีกาขอให้ลดค่าปรับ อ้างว่าค่าปรับสูงเกินไป จึงขอให้ปรับพอสมควร และคืนเงินค่ามัดจำด้วยนั้น เมื่อได้พิจารณาตลอดท้องเรื่องแล้วเห็นว่าค่าปรับฐานผิดสัญญาส่งของล่าช้าตามที่โจทก์จำเลยตกลงกันไว้จนกว่าจะนำของอย่างถูกสัญญามาส่ง แม้นานเท่าไรก็ให้ปรับกันตลอดไปนั้น ดูออกจะสูงเกินไป เพราะแม้ผู้ขายไม่ส่งของให้เลย ยังปรับเพียงร้อยละ 25 ของเงินราคาของที่ซื้อขายกันทั้งหมดเมื่อคิดแล้วจากหลักนี้ค่าปรับที่จำเลยปรับโจทก์ 3 คราว จึงสูงเกินควรไป 148,216 บาท 22 สตางค์ เพราะสิ่งของที่โจทก์ส่งให้จำเลยได้ครบ เพียงล่าช้าไป ศาลจึงมีอำนาจลดค่าปรับที่สูงเกินไปได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383

จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นว่าให้จำเลยที่ 1-2คืนเงินค่าปรับที่เรียกสูงเกินไปให้แก่โจทก์ 148,216 บาท 22 สตางค์ค่าธรรมเนียมและค่าทนายต่างให้พับไปทั้ง 3 ศาล

Share