แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันยอมผูกพันตนเองโดยไม่มีเงื่อนไขที่จะค้ำประกันชนิดเพิกถอนไม่ได้เช่นเดียวกับลูกหนี้ชั้นต้นในการชำระเงินตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์ซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างในกรณีที่ผู้รับจ้างก่อให้เกิดความเสียหายใด ๆ หรือต้องชำระค่าปรับหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ หรือผู้รับจ้างมิได้ปฏิบัติตามภาระหน้าที่ใด ๆ ที่กำหนดในสัญญาจ้าง โดยจำเลยจะไม่อ้างสิทธิใด ๆ เพื่อโต้แย้งและโจทก์ไม่จำต้องเรียกร้องให้ผู้รับจ้างชำระหนี้นั้นก่อน ดังนั้น หากเป็นไปตามข้ออ้าง การค้ำประกันตามหนังสือค้ำประกันท้ายฟ้องย่อมไม่ใช่การผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระ แต่เป็นการค้ำประกันที่จำเลยมีความผูกพันจะต้องชำระเงินให้แก่โจทก์โดยเคร่งครัดอย่างลูกหนี้ชั้นต้นเมื่อมีการทวงถามตามเงื่อนไขโดยไม่อาจอ้างเหตุใด ๆ ระหว่างโจทก์กับจำเลยร่วมซึ่งเป็นผู้รับจ้างขึ้นปลดเปลื้องความรับผิดได้ และความรับผิดของจำเลยในกรณีนี้จะไม่ขึ้นอยู่กับความรับผิดของจำเลยร่วม สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดของโจทก์และจำเลยตามหนังสือค้ำประกันที่พิพาทกันในคดีนี้เป็นเอกเทศและต้องพิจารณาแยกต่างหากจากสัญญาว่าจ้างก่อสร้าง ส่วนผลแห่งการบังคับตามสัญญานี้จะกระทบถึงสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดของจำเลยและจำเลยร่วมตามคำขอให้ออกหนังสือค้ำประกันที่พิพาท หรือกระทบถึงสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดของโจทก์และจำเลยร่วมตามสัญญาว่าจ้างก่อสร้างอย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องว่ากล่าวกันต่างหาก
การเรียกบุคคลมาเป็นจำเลยร่วมเป็นเรื่องอำนาจฟ้องอันเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 4,472,228.01 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 3,723,518.92 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกบริษัทยู.ที.เอ็ม.ฯ เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
ก่อนสืบพยาน จำเลยยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งจำหน่ายคดี
โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดี คืนค่าขึ้นศาลให้โจทก์ทั้งหมด
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2539 โจทก์ทำสัญญาว่าจ้างจำเลยร่วมก่อสร้างอาคารเพื่อการกีฬาตามผังแม่บทของศูนย์กีฬาและสุขภาพในวงเงิน 109,000,000 บาท และมีข้อตกลงว่า ในกรณีที่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นระหว่างคู่สัญญาเกี่ยวกับข้อกำหนดแห่งสัญญานี้ หรือเกี่ยวกับการปฏิบัติตามสัญญานี้ และคู่สัญญาไม่สามารถตกลงกันได้ ให้เสนอข้อโต้แย้งหรือข้อพิพาทนั้นต่ออนุญาโตตุลาการเพื่อพิจารณาชี้ขาด โดยจำเลยร่วมได้นำหนังสือค้ำประกันของจำเลยจำนวนเงิน 5,450,000 บาท มอบให้โจทก์เพื่อเป็นหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญาของจำเลยร่วม
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยและระหว่างโจทก์กับจำเลยร่วมเพื่อให้โจทก์กับจำเลยร่วมไปดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการก่อนเป็นการไม่ชอบหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องว่า จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันยอมผูกพันตนเองโดยไม่มีเงื่อนไขที่จะค้ำประกันชนิดเพิกถอนไม่ได้เช่นเดียวกับลูกหนี้ชั้นต้นในการชำระเงินให้ตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์ซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างจำนวนไม่เกิน 5,450,000 บาท ในกรณีที่ผู้รับจ้างก่อให้เกิดความเสียหายใดๆ หรือต้องชำระค่าปรับหรือค่าใช้จ่ายใดๆ หรือผู้รับจ้างมิได้ปฏิบัติตามภาระหน้าที่ใดๆ ที่กำหนดในสัญญาจ้าง โดยจำเลยจะไม่อ้างสิทธิใดๆ เพื่อโต้แย้งและโจทก์ไม่จำต้องเรียกร้องให้ผู้รับจ้างชำระหนี้นั้นก่อน ซึ่งเมื่อตรวจดูหนังสือค้ำประกันก็มีเนื้อหาในทำนองเดียวกันกับที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้อง ดังนั้น หากเป็นไปตามข้ออ้าง การค้ำประกันตามหนังสือค้ำประกันย่อมไม่ใช่การผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระ แต่เป็นการค้ำประกันที่จำเลยมีความผูกพันที่จะต้องชำระเงินให้แก่โจทก์โดยเคร่งครัดอย่างลูกหนี้ชั้นต้นเมื่อมีการทวงถามตามเงื่อนไข โดยไม่อาจอ้างเหตุใด ๆ ระหว่างโจทก์กับจำเลยร่วมขึ้นปลดเปลื้องความรับผิดได้ และความรับผิดของจำเลยในกรณีนี้จะไม่ขึ้นอยู่กับความรับผิดของจำเลยร่วม สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดของโจทก์และจำเลยตามหนังสือค้ำประกันที่พิพาทกันในคดีนี้เป็นเอกเทศและต้องพิจารณาแยกต่างหากจากสัญญาว่าจ้างก่อสร้าง ส่วนผลแห่งการบังคับตามสัญญานี้จะกระทบถึงสิทธิหน้าที่และความรับผิดของจำเลยและจำเลยร่วมตามคำขอให้ออกหนังสือค้ำประกันที่พิพาท หรือกระทบถึงสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดของโจทก์และจำเลยร่วมตามสัญญาว่าจ้างก่อสร้างอย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องว่ากล่าวกันต่างหาก ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เรียกบริษัทยู.ที.เอ็ม.ฯ เข้ามาเป็นจำเลยร่วมก็ดี หรือที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีนี้เพื่อให้โจทก์และจำเลยร่วมไปดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการก่อนก็ดี เป็นการไม่ชอบ ซึ่งในส่วนการเรียกบุคคลมาเป็นจำเลยร่วมนั้นเป็นเรื่องอำนาจฟ้องอันเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247
พิพากษากลับเป็นว่า ให้ยกคำร้องขอให้เรียกบริษัทยู.ที.เอ็ม. เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ค่าคำร้องให้เป็นพับ และให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 และคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้จำหน่ายคดีโจทก์ ให้ศาลชั้นต้นยกคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยขึ้นพิจารณาต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ