คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2001/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ศาลแรงงานกลางสั่งรับเอกสารตามบัญชีเพิ่มเติมของจำเลยเป็นพยานหลังจากโจทก์ซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนสืบพยานเสร็จแล้ว เป็นการใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 45 วรรคแรก เอกสารดังกล่าวถือว่าเป็นพยานศาลจึงย่อมรับฟังได้
เมื่อศาลแรงงานกลางยอมให้นำสืบเอกสารดังกล่าวและจำเลยแถลงหมดพยานแล้ว โจทก์มิได้แถลงขอสืบพยานเพื่อหักล้างเอกสารนั้นทั้งศาลแรงงานกลางคงได้พิจารณาแล้วเห็นว่าไม่สมควรจะเรียกพยานมาสืบอีกตามความในตอนท้ายของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 89 วรรคสามจึงมิได้ใช้อำนาจดังกล่าว เช่นนี้ การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลแรงงานกลางชอบแล้ว.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เคยเป็นลูกจ้างของจำเลยระหว่างทำงานจำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ไม่ครบและไม่จ่ายค่าเช่าบ้านให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินทั้งสองจำนวนให้โจทก์
จำเลยให้การว่าจำเลยมิได้ค้างจ่ายเงินทั้งสองจำนวนขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่าโจทก์อุทธรณ์ว่าเมื่อโจทก์ผู้มีหน้าที่นำสืบก่อนนำสืบพยานเสร็จแล้ว การที่ศาลแรงงานกลางสั่งรับเอกสารตามบัญชีเพิ่มเติมลงวันที่ 1 มีนาคม 2531 ของจำเลยเป็นพยานศาลเป็นการไม่ชอบ เพราะฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความแพ่งทำให้โจทก์เสียเปรียบเห็นว่าพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522 มาตรา 45 วรรคแรกบัญญัติว่า ‘เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมในอันที่จะให้ได้ความแจ้งชัดในข้อเท็จจริงแห่งคดีให้ศาลแรงงานมีอำนาจเรียกพยานหลักฐานมาสืบได้เองตามที่เห็นสมควร’ เมื่อศาลแรงงานกลางใช้อำนาจตามที่กฎหมายให้ไว้ดังที่กล่าวข้างต้น สัญญาเข้าเป็นผู้สอนอันเป็นเอกสารที่ศาลแรงงานกลางถือว่าเป็นพยานศาลจึงย่อมรับฟังได้หาเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความแพ่งตามที่โจทก์อุทธรณ์ไม่
โจทก์อุทธรณ์อีกข้อหนึ่งว่าเมื่อศาลแรงงานกลางยอมให้นำสืบสัญญาเข้าเป็นผู้สอนแล้ว ศาลแรงงานกลางหาได้ให้โอกาสแก่โจทก์ที่จะนำสืบหักล้างพยานเอกสารดังกล่าวนั้นประการใดไม่ศาลแรงงานกลางมิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 89 วรรคสามซึ่งโจทก์คงหมายความต่อไปว่าศาลแรงงานกลางดำเนินกระบวนพิจารณาโดยไม่ชอบ จะรับฟังสัญญาเข้าเป็นผู้สอนมิได้ข้อนี้เห็นว่าในคดีแพ่งทั้งปวงคู่ความย่อมมีหน้าที่ปกปักรักษาสิทธิและประโยชน์ของตนเอง ศาลพึงดำรงตนในท่ามกลางหาควรที่จะพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของฝ่ายใดไม่ ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 9 มีนาคม 2531 ว่าเมื่อจำเลยแถลงว่าหมดพยานแล้ว โจทก์ผู้มีหน้าที่นำสืบก่อนหาได้แถลงขอสืบพยานที่เกี่ยวข้องมานำสืบหักล้างสัญญาเข้าเป็นผู้สอนประการใดไม่ก็เมื่อโจทก์มิได้แถลงขอสืบพยานเองไฉนกลับจะถือว่าศาลแรงงานกลางดำเนินกระบวนพิจารณาไม่ชอบเล่า ส่วนข้อความในตอนท้ายของมาตรา 89 วรรคสามที่ว่า ‘….หรือเมื่อศาลเห็นสมควรจะเรียกมาสืบเองก็ได้’ นั้นเฉพาะคดีนี้ศาลแรงงานกลางคงได้พิจารณาแล้วแต่เห็นว่าไม่สมควรที่จะเรียกพยานมาสืบอีกจึงมิได้ใช้อำนาจดังกล่าวดังนี้จะถือว่าศาลแรงงานกลางปฏิบัติไม่ชอบตามที่โจทก์อุทธรณ์หาได้ไม่
พิพากษายืน.

Share