แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำเบิกความของผู้ที่ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน ซึ่งพนักงานสอบสวนกันไว้เป็นพยานนั้น แม้จะมีน้ำหนักน้อย แต่ถ้ามีพยานอื่นประกอบก็รับฟังลงโทษจำเลยได้
คำเบิกความของพยานโจทก์ผู้กระทำผิดร่วมกับจำเลย ประกอบกับคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนและการที่จำเลยนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพชั้นสอบสวน รับฟังลงโทษจำเลยได้
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกับนายมานพ เปลกระโทก พยานโจทก์ปล้นทรัพย์โค ๒ ตัวของนายเขียว เปื้อนกระโทก ชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐, ๘๓
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธอ้างฐานที่อยู่ และว่าถูกตำรวจทำร้ายบังคับให้รับสอบสวน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ นอกนั้นยืนตามศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑ และโจทก์ฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า เฉพาะจำเลยที่ ๒ ซึ่งโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์มีนายมานพ เปลกระโทก ซึ่งถูกจับพร้อมกับจำเลยที่ ๑ และรับสารภาพว่าได้ร่วมกระทำผิดด้วยแต่พนักงานสอบสวนกันไว้เป็นพยานเบิกความว่าได้ร่วมกับจำเลยทั้งสองปล้นโคผู้เสียหายไป ตามคำเด็กชายวาย เปื้อนกระโทก พยานโจทก์ปรากฏว่าคนร้ายมีทั้งหมดด้วยกัน ๓ คน แต่เด็กชายวาย เปื้อนกระโทกจำได้คนเดียว เมื่อสิบตำรวจโทชม บ่ายกระโทก ติดตามคนร้ายไปก็พบจำเลยทั้งสองอยู่กับนายมานพ เปลกระโทก ที่บ้านจำเลยที่ ๒ ในวันเกิดเหตุนั้นเอง ซึ่งตามคำเบิกความจำเลยที่ ๑ ว่าถูกจับราวเที่ยงวันหลังเกิดเหตุเพียงชั่วโมงเศษ น่าเชื่อว่านายมานพ เปื้อนกระโทก เห็นเหตุการณ์เพราะได้ร่วมกระทำผิดด้วย จริงอยู่พยานโจทก์ปากนี้ให้การแตกต่างกับเด็กชายวาย เปื้อนกระโทก พยานโจทก์หลายประการแต่ก็ไม่ถึงขนาดที่จะฟังเลยไปถึงว่านายมานพ เปลกระโทก ยอมรับเข้ามาเป็นพยานเพียงให้พ้นจากการถูกกล่าวหาหรือถูกบีบบังคับให้เป็นพยานดังที่ศาลอุทธรณ์ตั้งข้อสงสัย คำเบิกความของผู้ที่ร่วมกระทำผิดด้วยกัน ซึ่งพนักงานสอบสวนกันไว้เป็นพยาน แม้จะมีน้ำหนักน้อย แต่ถ้ามีพยานอื่นประกอบก็รับฟังลงโทษได้
คำพยานประกอบคดีนี้ก็คือ คำรับสารภาพของจำเลยที่ ๒ ชั้นสอบสวนซึ่งรับว่าได้ร่วมกระทำผิดเพราะจำเลยที่ ๑ ชักชวนนอกจากนั้นจำเลยที่ ๒ ยังนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพปรากฏตามภาพถ่ายที่โจทก์ส่งศาลเป็นหลักฐาน ที่จำเลยที่ ๒ นำสืบว่าถูกตำรวจเตะต่อยและให้เซ็นชื่อในกระดาษที่มีข้อความอยู่แล้วนั้นเมื่อร้อยตำรวจโทฉลอง คำเอี่ยม พนักงานสอบสวนเข้าเบิกความประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสองชั้นสอบสวน จำเลยที่ ๒ ก็หาได้ถามค้านถึงความข้อนี้ไว้ไม่ คงอ้างตัวเองนำสืบภายหลัง จึงไม่มีน้ำหนัก ศาลฎีกาเชื่อว่าจำเลยที่ ๒ ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนโดยสมัครใจ จึงเป็นหลักฐานประกอบคำนายมานพ เปลกระโทก พยานโจทก์ซึ่งพนักงานสอบสวนกันไว้เป็นพยานดังกล่าว ฟังได้สนิทว่าจำเลยที่ ๒ ได้กระทำผิดจริงดังคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น
คดีส่วนตัวจำเลยที่ ๑ นั้น นอกจากคำนายมานพ เปลกระโทก ซึ่งโจทก์กันไว้เป็นพยานแล้ว โจทก์ยังมีเด็กชายวาย เปื้อนกระโทก เป็นประจักษ์พยานเชื่อถือได้ เมื่อตำรวจไม่ชังนายมานพ เปลกระโทก และกันไว้เป็นพยาน ยังปรากฏจากคำเบิกความของจำเลยที่ ๑ ว่าจำเลยที่ ๑ ได้ต่อว่าตำรวจว่านายมานพ เปลกระโทก ก็ผิดทำไมไม่ชังไม่จัดการกับมัน แสดงว่าจำเลยที่ ๑ ได้ร่วมทำผิดด้วยจริง มิฉะนั้นจะทราบได้อย่างไรว่านายมานพ เปลกระโทก ทำผิดด้วย ชั้นสอบสวนจำเลยที่ ๑ ก็ให้การรับสารภาพ และนำชี้ที่เกิดเหตุและแสดงท่าประกอบ ดังที่พนักงานสอบสวนได้ถ่ายภาพไว้ ข้ออ้างของจำเลยที่ ๑ ที่ว่าถูกตำรวจทำร้ายแล้วนำกระดาษมาให้เซ็นชื่อโดยไม่ทราบว่ามีข้อความอย่างไรก็มีแต่ตัวจำเลยที่ ๑ อ้างตัวเองปากเดียว เบิกความภายหลังลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักที่จะให้เชื่อว่าเป็นจริงดังข้อกล่าวอ้าง พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ ทำผิดจริงดังโจทก์ฟ้อง
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้บังคับคดีลงโทษจำเลยที่ ๒ ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น