แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยหลอกลวงผู้เยาว์อายุ 16 ปี ว่าคู่รักต้องการพบผู้เยาว์หลงเชื่อตามจำเลยไปแล้วถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเรากับหน่วงเหนี่ยวกักขัง โจทก์และภริยาเป็นบิดามารดาของผู้เยาว์รับขมาด้วยเงิน 2,000 บาทโดยยังไม่ได้ตกลงกันเกี่ยวกับความผิดในทางอาญาและยอมรับขมาเพื่อให้ได้ตัวผู้เสียหายกลับคืนมาและเพื่อล้างอายกับเข้าใจว่าบุตรของตนตามเขาไปดังนี้ เป็นเรื่องตกลงกันในทางแพ่ง ไม่เกี่ยวกับความผิดในทางอาญา จึงถือไม่ได้ว่ามีการยอมความกันถูกต้องตามกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2)
จำเลยหลอกลวงผู้เยาว์ว่า คู่รักของผู้เยาว์มาคอยพบจะถือว่าผู้เยาว์เต็มใจไปกับจำเลยหาได้ไม่
จำเลยหลอกลวงพาผู้เยาว์ไปบังคับขู่เข็ญกระทำชำเรา มิใช่พาไปในฐานชู้สาว จึงเป็นการพรากไปเพื่อการอนาจาร
พรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจผิดตามมาตรา 318 วรรคท้าย เป็นบทหนักกว่ามาตรา 319 ซึ่งศาลอุทธรณ์ปรับมา แต่โจทก์มิได้ฎีกาขึ้นมาศาลฎีกาจะพิพากษาให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยมิได้
ย่อยาว
นายเติม บุญปกครอง บิดาและผู้แทนโดยชอบธรรมของนางสาวสมใจบุญปกครอง ผู้เยาว์ซึ่งมีอายุ 16 ปี ฟ้องว่า จำเลยใช้อุบายหลอกลวงพานางสาวสมใจออกจากบ้านไปกับจำเลย และบังอาจใช้มีดขู่เข็ญและข่มขืนกระทำชำเรานางสาวสมใจกับหน่วงเหนี่ยวกักขังนางสาวสมใจไม่ให้ออกจากบริเวณบ้านเป็นเวลา 6 วัน 6 คืน ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276, 284, 309, 310 และ 318
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้อง คดีมีมูลและสั่งประทับฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้หลอกลวงพานางสาวสมใจไปแล้วขู่เข็ญกระทำชำเรา และเห็นว่าการที่จำเลยพานางสาวสมใจไปอยู่ที่อื่นชั่วระยะเวลาหนึ่ง จะถือว่าเป็นการหน่วงเหนี่ยวกักขัง ทำให้เสื่อมเสียอิสระภาพและพรากผู้เยาว์ยังไม่ได้ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 310 วรรคแรก และ 319 แต่ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 ซึ่งเป็นกระทงที่หนักที่สุดตาม3ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุก 3 ปี
จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาและยื่นคำแถลงการณ์ว่า จำเลยได้ให้ผู้ใหญ่ไปขอขมา และบิดามารดาของนางสาวสมใจก็ยอมรับขมาโดยยอมรับเงิน 2,000 บาทแล้ว ถือได้ว่าได้ยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) แล้ว สิทธิที่จะนำคดีมาฟ้องร้องย่อมระงับไป ศาลฎีกาเห็นว่า ขณะโจทก์และภริยาซึ่งเป็นบิดามารดาของนางสาวสมใจรับขมานั้น โจทก์และภริยายังไม่ทราบว่าจำเลยได้หลอกลวงพาเอานางสาวสมใจไป แล้วใช้มีดปลายแหลมบังคับขู่เข็ญกระทำชำเราอันเป็นผิดในทางอาญาแต่อย่างใด ทั้งในการขอขมาก็ไม่ได้พูดตกลงกันเกี่ยวกับความผิดในทางอาญาแต่อย่างใด โจทก์เบิกความรับรองว่ายอมรับขมาเพื่อให้ได้ตัวนางสาวสมใจกลับคืนมา และเพื่อล้างอาย โจทก์เข้าใจว่าบุตรของตนตามเขาไป จึงเห็นว่า การยอมรับขมานั้นเป็นเรื่องตกลงกันในทางแพ่ง ไม่เกี่ยวกับความผิดในทางอาญาเพราะขณะยอมรับขมาบิดามารดาของนางสาวสมใจยังไม่ทราบเรื่องเกี่ยวกับคดีอาญาที่เกิดขึ้น จึงยังถือไม่ได้ว่าได้มีการยอมความกันถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2)
จำเลยยื่นคำแถลงว่า จำเลยไม่ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319เพราะการพรากผู้เยาว์ไปอันเป็นผิดมาตรา 319 นั้น จะต้องพรากเอาไปเพื่อการค้ากำไรหรือเพื่อการอนาจาร ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยหลอกลวงพาเอานางสาวสมใจไปบังคับขู่เข็ญกระทำชำเรามิใช่พาไปในฐานชู้สาวจึงเป็นการพาไปเพื่อการอนาจาร อย่างไรก็ดีการที่จำเลยหลอกลวงว่านายประนอมคู่รักของนางสาวสมใจมาคอยพบ นางสาวสมใจได้ลงเรือไปกับจำเลยนั้น จะถือว่านางสาวสมใจไปกับจำเลยด้วยความเต็มใจหาได้ไม่ เพราะนางสาวสมใจมิได้เต็มใจไปกับจำเลย หากแต่หลงเชื่อคำหลอกลวง จึงได้ยอมไปกับจำเลย ถ้าจำเลยไม่หลอกลวงนางสาวสมใจ นางสาวสมใจก็คงไม่ยอมไปด้วยแน่นอน การกระทำของจำเลยจึงเป็นเรื่องพรากผู้เยาว์ซึ่งมีอายุไม่เกิน 18 ปีไปจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจ จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 วรรคท้าย เป็นบทหนักกว่ามาตรา 319 แต่โจทก์มิได้ฎีกาขึ้นมาศาลฎีกาจะพิพากษาให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยมิได้
จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์