แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับรองบุตรและเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูรวมมาด้วยกันนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกัน โจทก์ฟ้องรวมมาในคดีเดียวกันได้ ไม่จำเป็นต้องขอให้ศาลพิพากษาว่าเป็นบุตรเสียก่อน แล้วจึงมาฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูในภายหลัง(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2085/2499)
โจทก์ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์จากจำเลยในฐานะที่โจทก์เป็นมาดาและเป็นผู้ใช้อำนาจปกครอง ไม่ใช่ฟ้องในนามของผู้เยาว์หรือในฐานะผู้แทนผู้เยาว์นั้น ไม่เป็นคดีอุทลุม
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยล่อลวงร่วมประเวณีกับโจทก์จนเกิดบุตรด้วยกัน 1 คน เมื่อโจทก์คลอดบุตรแล้วจำเลยได้แสดงให้รู้ทั่วไปตลอดมาว่าเด็กนั้นเป็นบุตรของจำเลย ดังนี้ แม้โจทก์จะไม่มีเอกสารของจำเลยแสดงชัดว่าเด็กนั้นเป็นบุตรของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1529(3) ก็ตาม โจทก์ก็ฟ้องได้ เพราะโจทก์ได้บรรยายได้ด้วยว่าโจทก์คลอดบุตรแล้วจำเลยได้แสดงให้รู้ทั่วไปตลอดมาว่าเด็กนั้นเป็นบุตรจำเลย ซึ่งเป็นเหตุหนึ่งที่จะฟ้องขอให้รับรองบุตรได้อยู่แล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1529(5)
การกำหนดให้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรโดยคำพิพากษานั้น ต้องเริ่มแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็นบุตร
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องว่า จำเลยล่อลวงร่วมประเวณีกับโจทก์จนเกิดบุตรด้วยกัน ๑ คน คือเด็กชายอนุชิต สุวรรณจูฑะ จำเลยแจ้งการเกิดว่าจำเลยเป็นบิดา เป็นคนตั้งชื่อบุตรให้บุตรใช้นามสกุลของจำเลย ให้ความอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษา แสดงให้รู้กันทั่วไปว่าเด็กชายอนุชิตเป็นบุตรของจำเลยต่อมาจำเลยงดให้ความอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษา และมีพฤติการณ์ไม่ยอมรับเด็กชายอนุชิตเป็นบุตรขอให้พิพากษาว่าเด็กชายอนุชิตเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย ให้จำเลยไปจดทะเบียนว่าเป็นบุตรและให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเดือนละ ๕๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนสำเร็จชั้นประถมศึกษา และเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท ตั้งแต่เริ่มเข้าศึกษาในชั้นมัธยมศึกษาจนบรรลุนิติภาวะ
จำเลยให้การว่า โจทก์มิได้เป็นมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กชายอนุชิตจึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์มิได้ดำเนินการให้จำเลยรับรองเด็กชายอนุชิตเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายเสียก่อน จึงฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูไม่ได้ โจทก์จะฟ้องให้รับรองบุตรและเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูรวมมาด้วยกันไม่ได้ จำเลยไม่เคยหลอกลวงร่วมประเวณีกับโจทก์เด็กชายอนุชิตไม่ใช่บุตรจำเลย จำเลยไม่เคยไปแจ้งการเกิดในทะเบียนว่าจำเลยเป็นบิดาไม่เคยตั้งชื่อและให้เด็กชายอนุชิตใช้นามสกุลของจำเลย ไม่เคยให้ความอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าเด็กชายอนุชิตเป็นบุตรจำเลย ให้จำเลยไปจดทะเบียนรับรองเด็กเป็นบุตร ถ้าไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแสดงเจตนาแทนคำให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเดือนละ ๕๐๐ บาท นับแต่วันพิพากษาเป็นต้นไป จนกว่าจะสำเร็จการศึกษาชั้นประถามศึกษา และเดือนละ ๘๐๐ บาท ตั้งแต่เข้าศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตลอดไปจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ โดยไม่ตัดสินที่จะเพิกถอน ลดเพิ่ม เมื่อพฤติการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาว่าโจทก์จะฟ้องจำเลยเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูรวมมาในฟ้องขอให้รับรองบุตรไม่ได้ และการที่โจทก์ในฐานะมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูแทนผู้เยาว์เป็นคดีอุทลุม ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๕๓๔ เห็นว่า การที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับรองบุตรและเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูรวมมาด้วยกันั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกัน โจทก์ฟ้องรวมมาในคดีเดียวกันได้ ไม่จำเป็นต้องขอให้ศาลพิพากษาว่าเป็นบุตรเสียก่อน แล้วจึงมาฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูในภายหลัง ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๒๐๘๕/๒๔๙๙ ระหว่างนางวรินทร์ เศวตกนิษฐ์ มารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กหญิงตุ๋มบุตรผู้เยาว์ โจทก์ นายสนิท รัตจินดา จำเลย และการที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์จากจำเลย ก็ไม่เป็นคดีอุทลุม เพราะฟ้องในฐานะที่เป็นมารดกและเป็นผู้ใช้อำนาจปกครอง ไม่ใช่ฟ้องในนามผู้เยาว์หรือในฐานะผู้แทนผู้เยาว์
จำเลยฎีกาว่า คำเบิกความของโจทก์ที่ว่าโจทก์ได้เสียกับจำเลยเพราะความสมัครใจรักใคร่กัน ซึ่งต่างกันที่โจทก์บรรยายในฟ้องว่าจำเลยได้ล่อลวงร่วมประเวณีกับโจทก์ จึงเป็นเรื่องไม่จริง เพราะการล่อลวงร่วมประเวณีกับหญิงที่เป็นมารดาของเด็ก จะฟังเป็นความจริงไปจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งของบิดาทำไว้ให้แสดงออกอย่างชัดแจ้ง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๒๙(๓) นั้น เห็นว่า โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยล่อลวงร่วมประเวณีกับโจทก์แต่อย่างเดียว แต่บรรยายฟ้องว่า เมื่อโจทก์คอลดเด็กชายอนุชิตแล้ว จำเลยได้แสดงให้รู้กันทั่วไปตลอดมาเด็กชายอนุชิตเป็นบุตรของจำเลย ซึ่งเป็นเหตุหนึ่งที่จะฟ้องขอให้รับรองบุตรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๒๙(๕) ด้วย
จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กชายอนุชิตมากเกินกว่าเหตุ และที่ให้จ่ายนับตั้งแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษานั้น ไม่ถูก เห็นว่าศาลอุทธรณ์กำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูให้จำเลยจ่ายแก่เด็กชายอนุชิตนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าในเรื่องกำหนดจำนวนเงิน แต่ที่ให้จ่ายตั้งแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษา ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เพราะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๓๐ บัญญัติว่า การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายมีผล…………….(๓) ถ้ามีคำพิพากษาว่าเป็นบุตร ให้มีผลนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด เพราะฉะนั้น สิทธิและหน้าที่ระหว่างจำเลยและเด็กชายอนุชิตผู้เป็นบุตรโดยคำพิพากษาของศาลจึงเริ่มแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กชายอนุชิต สุวรรณจูฑะ เดือนละ ๕๐๐ บาท นับตั้งแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์