คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1997/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีไว้ในครอบครองซึ่งเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์จำนวน 9.247 กิโลกรัมอันมีน้ำหนักเกินกว่ายี่สิบกรัมถือได้ว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสอง และจำเลยทั้งสองมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งเฮโรอีนมีปริมาณเกินกว่าหนึ่งร้อยกรัม จึงมีความผิดต้องระวางโทษตามมาตรา 66 วรรคสอง
จำเลยที่ 1 ตกลงขายเฮโรอีนของกลางให้แก่ ส. เจ้าหน้าที่ผู้ล่อซื้อ ได้ตรวจเงินที่ซื้อเฮโรอีนจาก ส.แล้วพาส. ไปเอาเฮโรอีนโดยเปิดท้ายรถให้ ส. ตรวจเฮโรอีนของกลางที่ขายส. ตรวจดูแล้วถอยออกไปส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่เข้าจับกุมจำเลยที่ 1 ดังนี้ มีการตกลงซื้อขายเฮโรอีนของกลางแล้วจำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีน โดยที่เฮโรอีนที่จำเลยที่ 1 มีไว้เพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเป็นจำนวนเดียวกันการกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดกรรมเดียวกันต้องลงโทษตามกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุด แต่ความผิดฐานมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งเฮโรอีนและฐานจำหน่ายเฮโรอีนอันมีปริมาณเกินกว่าหนึ่งร้อยกรัมต้องระวางโทษเท่ากัน จำเลยที่ 1 จึงควรรับโทษฐานจำหน่ายเฮโรอีน ที่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายอีกฐานหนึ่งนั้นยังไม่ถูกต้องและศาลฎีกาเห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย สมควรแก้ไขให้ถูกต้องโดยแก้ไขถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันมีเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์อันเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 หนัก 9.247 กิโลกรัมไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย และได้ร่วมกันจำหน่ายเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์จำนวนดังกล่าวให้แก่นายสุรชัย จันทรรังสรรค์ โดยฝ่าฝืนกฎหมายเจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมด้วยเฮโรอีนจำนวนดังกล่าว และรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 8ค – 5306 กรุงเทพมหานครซึ่งใช้เป็นยานพาหนะบรรทุกเฮโรอีนเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15, 66, 102ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 และริบของกลางทั้งหมด
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคสอง ฐานร่วมกันมีเฮโรอีนเพื่อจำหน่าย ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองไว้ตลอดชีวิต ริบเฮโรอีนของกลาง ส่วนรถยนต์มาสด้า 626หมายเลขทะเบียน 8ค – 5306 นั้นปรากฏว่าเจ้าของมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดให้คืนเจ้าของ ข้อหาอื่นให้ยกเสีย
โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยทั้งสองควรมีความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีนของกลางอีกกระทงหนึ่ง และควรสั่งริบรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 8ค – 5306 กรุงเทพมหานคร ซึ่งจำเลยทั้งสองใช้ในการกระทำความผิดเสียด้วย
จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว เห็นว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันมีและตกลงขายเฮโรอีนของกลางให้แก่นายสุรชัยซึ่งล่อซื้อการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายเฮโรอีนตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66วรรคสอง แต่ไม่มีความผิดฐานร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายอีกกรรมหนึ่ง ทั้งนี้เพราะเฮโรอีนที่มีและจำหน่ายโดยการตกลงขายแก่นายสุรชัยนั้นเป็นเฮโรอีนจำนวนเดียวกัน จำเลยได้ตกลงขายหมดแล้วและศาลชั้นต้นคืนรถยนต์ของกลางแก่เจ้าของชอบแล้ว พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีไว้ในครอบครองซึ่งเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ จำนวน 9.247 กิโลกรัมของกลาง อันมีน้ำหนักเกินกว่ายี่สิบกรัม ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 15 วรรคสอง และจำเลยทั้งสองมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งเฮโรอีนมีปริมาณเกินกว่าหนึ่งร้อยกรัม จึงมีความผิดต้องระวางโทษตามมาตรา 66 วรรคสอง
ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีนของกลางนั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 1ได้ตกลงขายเฮโรอีนของกลางให้แก่นายสุรชัยเจ้าหน้าที่ผู้ล่อซื้อ ได้ตรวจเงินที่ซื้อเฮโรอีนจากนายสุรชัยที่บริเวณลานจอดรถที่โรงพยาบาลราชวิถี แล้วจำเลยที่ 1 พานายสุรชัยนำรถไปเอาเฮโรอีนในรถซึ่งจอดอยู่ที่ลานจอดรถของโรงพยาบาลรามาธิบดี ได้เปิดท้ายรถให้นายสุรชัยตรวจเฮโรอีนของกลางที่ขาย นายสุรชัยตรวจดูแล้วถอยออกไปส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่เข้าจับกุมจำเลยที่ 1 ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า มีการตกลงซื้อขายเฮโรอีนของกลางแล้ว จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีน โดยที่เฮโรอีนที่จำเลยที่ 1 มีไว้เพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเป็นจำนวนเดียวกัน การกระทำของจำเลยที่1 จึงเป็นความผิดกรรมเดียวกัน ต้องลงโทษตามกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุด แต่ความผิดฐานมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งเฮโรอีนและฐานจำหน่ายเฮโรอีนอันมีปริมาณเกินกว่าหนึ่งร้อยกรัมต้องระวางโทษเท่ากัน จำเลยที่ 1 จึงควรรับโทษฐานจำหน่ายเฮโรอีน ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายอีกฐานหนึ่งนั้นยังไม่ถูกต้อง และศาลฎีกาเห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง โดยแก้ไขถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคสอง อีกบทหนึ่งด้วย แต่ให้ลงโทษฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share