แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีที่ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วห้ามมิให้คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีก ในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน เมื่อโจทก์และภริยาโจทก์แพ้คดีจำเลยในคดีก่อนโดยคดีถึงที่สุด ชั้นศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเงินที่ภริยาโจทก์ชำระให้ในคดีนั้นเป็นเงินที่ภริยาโจทก์ส่งเสียให้แก่จำเลยระหว่างต้องคดีฐานกบฏด้วยความกตัญญูมิได้มีการซื้อขายกันโดยสุจริตดังนี้โจทก์จะมาฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่เรียกเงินจำนวนนั้นคืน โดยอ้างว่าโจทก์ชำระไปโดยเจตนาเป็นสินจ้างตอบแทนในการซื้อขายกัน ซึ่งถ้าไม่มีการตกลงซื้อขายกันโจทก์ก็ไม่ชำระให้แก่จำเลยเช่นว่านี้ไม่ได้ เป็นฟ้องซ้ำต้องห้าม
ย่อยาว
คดีนี้อนุสนธิมาจากคดีแพ่งดำที่ ๑๖๓/๒๔๘๔ แดงที่ ๑๘๔/๒๔๙๒ ซึ่งจำเลยได้ฟ้องโจทก์กับภริยาผู้เป็นบุตรีของจำเลย ให้โจทก์และภริยาส่งสังหาริมทรัพย์กับที่ดิน ๓ แปลงอ้างว่าระหว่างจำเลยถูกคุมขังฐานกบถนั้นมีเหตุอันควรเชื่อว่ารัฐบาลจะริบทรัพย์จำเลยจึงได้ฝากสังหาริมทรัพย์และโอนใส่ชื่อภริยาโจทก์ในโฉนด ๓ ฉบับ เพื่อป้องกันการริบทรัพย์โดยทำเป็นโอนขาย ความจริงมิได้มีสินจ้างตอบแทนกัน คดีถึงที่สุดชั้นศาลฎีกาพิพากษาให้แก้ทะเบียนแล้วลงชื่อจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โฉนดที่ดินทั้ง ๓ แปลงดังกล่าว โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ขึ้น
โจทก์ฟ้องจำเลยหลายประการคดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะในข้อที่โจทก์ฟ้องเรียกเงิน ๘,๙๕๐ บาท ซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นราคาค่าที่ดิน ๓ แปลง (ที่จำเลยฟ้องโจทก์ในคดีก่อนคือโฉนดที่ ๑๙๔๗,๒๙๘๔,๕๓๓ ) ซึ่งโจทก์จำเลยได้ตกลงซื้อขายกัน เงินจำนวนนี้โจทก์ได้ชำระแล้วโดยส่งเป็นเงินและเครื่องอุปโภคบริโภคให้แก่จำเลยในระหว่างถูกคุมขัง เมื่อศาลชี้ขาดให้โอนที่ดินกลับเป็นของจำเลย ๆ ก็มีหน้าที่ต้องคืนเงินจำนวนนี้ซึ่งโจทก์ชำระไปโดยเจตนาเป็นสินจ้างตอบแทนในการซื้อขายกันซึ่งถ้าไม่มีการตกลงซื้อขายแล้ว โจทก์ก็จะไม่ชำระเงินจำนวนนี้แก่จำเลยและค่าของเงินเวลานี้ตกต่ำ ๑๒ เท่า จำเลยมีหน้าที่ต้องคืนโจทก์ตามอัตราค่าปริวรรคของเงินในเวลานี้เป็นเงิน ๑๐๗,๔๐๐ บาท
จำเลยต่อสู้ตามฟ้องของโจทก์ข้อนี้ว่าเงิน ๘,๙๕๐ บาทนั้นศาลได้ชี้ขาดแล้ว โจทก์จะรื้อฟื้นขึ้นมาว่ากล่าวอีกไม่ได้
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยฟ้องของโจทก์ข้อนี้ว่าศาลได้ชี้ขาดในข้อเท็จจริงในคดีก่อนแล้วว่ามิได้มีการซื้อขายกันโดยสุจริตและไม่มีสินจ้างและให้โอนที่ดินคืนแก่จำเลย โจทก์ฟ้องเรียกราคาซื้อขายคืนไม่ได้เป็นฟ้องซ้ำ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าคดีเดิมจำเลยฟ้องโจทก์และภริยาเรียกสังหาริมทรัพย์และที่ดินรวม ๓ แปลง และโจทก์กับภริยาต่อสู้ในคดีนั้นว่าเป็นการซื้อขายและชำระราคาให้แก่จำเลยเสร็จแล้วดังฟ้องของโจทก์ในคดีนี้ ประเด็นสำคัญแห่งคดีเรื่องนั้นรวมาถึงการซื้อขายและราคา ๘,๙๕๐ บาท ซึ่งศาลฎีกาได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้วว่าภริยาโจทก์ได้ส่งเสียให้แก่จำเลยด้วยความกตัญญูมิได้มีการซื้อขายกันโดยสุจริต เมื่อโจทก์มาฟ้องในประเด็นเดียวกันและเป็นคู่ความคนเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้าม
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาโจทก์