คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 199/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่พิพาทเป็นที่ดินมีโฉนด แต่ได้พังทลายเป็นทางน้ำสาธารณะไปแล้ว ย่อมกลายเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นกรมในรัฐบาล จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานที่ดินจำเลยที่ 3 เป็นช่างรังวัด เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 4ที่ 5 ให้แบ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมีโฉนด เนื้อที่ 4ไร่ ศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมแบ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินจำนวน 2 ไร่ ให้จำเลยที่ 4 ที่ 5 ส่วนที่เหลือตกได้แก่โจทก์ จำเลยที่ 4 ที่ 5ได้นำจำเลยที่ 3 รังวัดแบ่งที่ดินดังกล่าวเป็นที่สาธารณะ 1 งาน 60ตารางวา ซึ่งความจริงที่ดินหามีเนื้อที่เว้นไว้เป็นที่สาธารณะไม่เมื่อแบ่งที่ดินให้จำเลยที่ 4 ที่ 5 จำนวน 2 ไร่แล้ว โจทก์จึงได้เนื้อที่ส่วนที่เหลือขาดไป 1 งาน 60 ตารางวา ขอให้ยกเลิกการรังวัดแบ่งแยกที่ดินดังกล่าว ให้เจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดใหม่และแก้เนื้อที่ดินให้ตรงกับจำนวนเนื้อที่ที่ได้รังวัดใหม่
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ให้การว่า น้ำได้เซาะที่ดินด้านทิศเหนือจนตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน รูปแผนที่ที่จำเลยที่ 3รังวัดนั้นถูกต้องแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ที่ 5 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ได้ทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยชอบและถูกต้องแล้ว ขอให้ยกฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ที่ดินด้านทิศเหนือพังทลายเป็นทางน้ำสาธารณะเป็นเนื้อที่ 1 งาน 60 ตารางวาซึ่งจำเลยที่ 3 ได้รังวัดหักที่เป็นทางน้ำสาธารณะออก โดยจำเลยที่ 3กระทำตามคำสั่งที่ 23/2481 ของกรมที่ดินและโลหกิจกระทรวงเกษตราธิการ คำสั่งกรมที่ดินที่ 5/2485 กฎกระทรวง ฉบับที่ 5(พ.ศ. 2497) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ. 2497 และได้นำส่วนที่เหลือของที่พิพาทมารังวัดแบ่งแยกให้จำเลยที่ 4 ที่ 5 ตามคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวคนละ 1 ไร่รวมเป็น 2 ไร่ เห็นว่า จำเลยที่ 3 ได้รังวัดแบ่งแยกดังกล่าวเป็นการถูกต้อง เพราะที่พิพาทได้พังทลายเป็นทางน้ำสาธารณะไปแล้ว จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่ในส่วนนี้เนื้อที่ 1 งาน 60 ตารางวา จึงไม่ใช่ที่ดินส่วนหนึ่งของโฉนดเลขที่ 6401 อีก และการรังวัดแบ่งแยกให้แก่จำเลยที่ 4 ที่ 5 คนละ 1 ไร่ ก็เป็นไปตามคำพิพากษาตามยอมแล้ว
พิพากษายืน.

Share