คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1983/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องมาจากอธิบดีกรมทางหลวง ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกา กำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงพิเศษสายพระประแดง-บางแคตลิ่งชัน-บางบัวทอง ตอนพระประแดง-บางแค-ตลิ่งชัน พ.ศ. 2533ในฐานะเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ได้กำหนดค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์ผู้ถูกเวนคืน เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2528ซึ่งแม่บทของกฎหมายเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างทางหลวงในขณะนั้น คือ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ลงวันที่28 พฤศจิกายน 2515 และต่อมาคือพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ในขณะที่ฝ่ายจำเลยกำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์นั้น ไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการกำหนดเงินค่าทดแทนไว้เป็นพิเศษในพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฉบับใดโดยเฉพาะฝ่ายจำเลยจึงกำหนดค่าทดแทนให้แก่โจทก์โดยอาศัยหลักเกณฑ์ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 และได้นำเงินค่าทดแทนที่ดินที่กำหนดให้แก่โจทก์ไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กลางซึ่งยังอยู่ในอายุของพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ขั้นตอนการกำหนดค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ในชั้นเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ได้ปฏิบัติไปโดยมีกฎหมายรับรองภายในอายุของพระราชกฤษฎีกาก่อนพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ แขวงบางแค แขวงบางแคเหนือแขวงบางไผ่ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2533มีผลใช้บังคับทั้งพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฉบับนี้ไม่ได้บัญญัติให้ใช้หลักเกณฑ์ในมาตรา 5 บังคับแก่การกำหนดราคาเบื้องต้นหรือการวางเงินค่าทดแทนที่ได้ดำเนินการไปแล้วด้วย และฝ่ายจำเลยก็มิได้ดำเนินการกำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์โดยอาศัยพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฉบับดังกล่าว การอุทธรณ์ของโจทก์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมจึงเป็นการอุทธรณ์ว่าการดำเนินการในทางปกครองของเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ที่กำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์โดยอาศัยอำนาจตามพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางพิเศษ พ.ศ. 2523 และประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 นั้นไม่ชอบ กรณีเช่นนี้จึงไม่อาจนำหลักเกณฑ์การกำหนดเงินค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ตามมาตรา 5แห่งพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่แขวงบางแค แขวงบางแคเหนือ แขวงบางไผ่ เขตภาษีเจริญกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2533 มาใช้บังคับแก่คดีนี้จึงต้องถือว่าคดีนี้เป็นกรณีที่ไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการกำหนดเงินค่าทดแทนไว้เป็นพิเศษในพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฉบับใดโดยเฉพาะ เงินค่าทดแทนที่จะให้แก่ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนจึงต้องกำหนดตามแม่บทของกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ และเมื่อ ปรากฎว่า ขณะที่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประกาศ ของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2515(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2530 และพระราชบัญญัติว่าด้วย การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มีผลใช้บังคับการดำเนินการจ่ายเงินค่าทดแทนตามพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวง พ.ศ. 2523 ยังไม่เสร็จสิ้น เพราะฝ่ายจำเลยยังไม่ได้แจ้งให้โจทก์มารับเงินค่าทดแทนที่ดินดังนั้น การดำเนินการต่อไปจึงต้องบังคับตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ซึ่งต่อมา ก่อนที่โจทก์จะฟ้องคดีนี้ได้มีประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อย แห่งชาติ ฉบับที่ 44 เรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ใช้บังคับแล้ว ตามข้อ 1 ของกฎหมายฉบับนี้ได้แก้ไขหลักเกณฑ์ในการกำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินจากเดิมซึ่งให้กำหนดโดยถือราคาตาม มาตรา 21(2) หรือ (3) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 แล้วแต่ราคาใดจะสูงกว่าเป็นเกณฑ์เป็นว่าให้กำหนดโดยอาศัยหลักเกณฑ์ตามมาตรา 21 ทั้งมาตรา และข้อ 5 บัญญัติว่าบทบัญญัติ ที่แก้ไขดังกล่าวให้มีผลใช้บังคับแก่การเวนคืนซึ่งการอุทธรณ์หรือการฟ้องคดียังไม่เสร็จเด็ดขาดในวันที่ประกาศฉบับดังกล่าวใช้บังคับด้วย ดังนั้น การกำหนดเงินค่าทดแทนที่ดิน ให้แก่โจทก์นั้น ศาลต้องกำหนดโดยคำนึงถึงหลักเกณฑ์ ตามมาตรา 21(1) ถึง (5) ประกอบกัน ฝ่ายจำเลยเพิ่งนำเงินค่าทดแทนไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กลางภายหลังจากวันพระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับเกือบ 10 ปี ทั้งไม่ปรากฏว่าได้แจ้งการวางเงินค่าทดแทนดังกล่าวให้แก่โจทก์หรือไม่อย่างไร ขณะที่โจทก์ทราบการวางค่าทดแทนที่ดินและไปขอรับเงินค่าทดแทนดังกล่าวก็เป็นเวลากว่า 10 ปี นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับแล้ว การที่ฝ่ายจำเลยไม่ดำเนินการให้มีการจ่ายเงินค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์ภายในเวลาอันควรปล่อยระยะเวลามาเนิ่นนานกว่า 10 ปี เป็นการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามครรลองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2521 มาตรา 33 วรรคสาม ที่ใช้บังคับอยู่ ในขณะที่พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับ ซึ่งทำให้โจทก์ ขาดโอกาสที่จะนำเอาเงินค่าทดแทนที่ดินไปซื้อที่ดินแปลงใหม่ที่มีราคาใกล้เคียงหรือสูงกว่าที่ดินโจทก์ที่ถูกเวนคืนไม่มากนักได้ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ ดังนั้นการที่จะกำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินโจทก์โดยคำนึงถึงมาตรา 21(1) ถึง (5) อย่างกรณีปกติย่อมไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ขัดต่อหลักการสำคัญของการกำหนดเงินค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องกำหนดเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกเวนคืน และสังคม หลักเกณฑ์ที่จะใช้ในการกำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินให้เป็นธรรมแก่โจทก์ผู้ถูกเวนคืนและสังคมด้วยคือหลักเกณฑ์ตามมาตรา 21(1) ถึง (5) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 เว้นแต่วันที่เป็นฐานที่ตั้งสำหรับราคาอสังหาริมทรัพย์เปลี่ยนจากวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกามาเป็นปี 2530 อันเป็นปีที่ฝ่ายจำเลยได้เจรจาเรื่องค่าทดแทนที่ดินกับโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินโจทก์ถูกเวนคืนตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่แขวงแสมดำ แขวงบางบอนเขตบางขุนเทียน แขวงหลักสอง เขตหนองแขม แขวงบางแคแขวงบางแคเหนือ แขวงบางไผ่ เขตภาษีเจริญ แขวงบางเชือกหนังแขวงบางพรม แขวงบางระมาด เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานครเพื่อสร้างทางหลวง พิเศษหมายเลข 340 สายพระประแดง-บางบัวทองตอนบางขุนเทียน-ตลิ่งชัน พ.ศ. 2533 จำเลยทั้งสามกำหนดเงินค่าทดแทนให้แก่โจทก์ไม่เป็นธรรม เพราะไม่ใช่ราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดขณะที่พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวใช้บังคับ ขณะนั้นที่ดินโจทก์มีราคาซื้อขายในท้องตลาดตารางวาละ 50,000 บาท โจทก์ได้ใช้สิทธิอุทธรณ์ค่าทดแทนต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมแล้ว แต่อุทธรณ์ของโจทก์มิได้รับการวินิจฉัย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชดใช้เงินแก่โจทก์จำนวน2,408,200 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามให้การว่า อธิบดีกรมทางหลวงในฐานะเจ้าหน้าที่เวนคืนได้พิจารณาอนุมัติให้กำหนดค่าทดแทนตามบัญชีอัตราค่าทดแทนที่ดินเพื่อถือจ่ายให้เจ้าของที่ดิน ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2497 แต่โจทก์ไม่ให้ความร่วมมือในการรับเงินค่าทดแทนและไม่ยอมเจรจาด้วย เจ้าหน้าที่เวนคืนจึงดำเนินการวางเงินค่าทดแทนดังกล่าว ณ สำนักงานวางทรัพย์กลางเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2532 ราคาค่าทดแทนที่ดินโจทก์ในขณะที่มีพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับคือ วันที่ 2 กรกฎาคม 2523ซึ่งเจ้าหน้าที่เวนคืนพิจารณาแล้วเห็นควรให้ใช้ราคาประเมินของกรมที่ดินที่มีราคาสูงกว่ามาใช้กำหนดราคาค่าทดแทนที่ดินโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินค่าทดแทนแก่โจทก์ 1,008,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์และจำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ร่วมกันชำระเงินจำนวน 308,200 บาท แก่โจทก์ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 45266 และเลขที่ 4587ติดถนนเพชรเกษม เนื้อที่ 14 ตารางวา และ 183 ตารางวาตามลำดับ ที่ดินโฉนดเลขที่ 45266 ทั้งแปลง และที่ดินโฉนดเลขที่ 4587 ส่วนที่อยู่ติดถนนเพชรเกษม เนื้อที่ 36 ตารางวาอยู่ในแนวทางหลวงตามพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงพิเศษสายพระประแดง-บางแค-ตลิ่งชัน-บางบัวทองตอนพระประแดง-บางแค-ตลิ่งชัน พ.ศ. 2523 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2523 ถึงวันที่ 2 กรกฎาคม 2533ต่อมาวันที่ 3 มกราคม 2528 อธิบดีกรมทางหลวงในฐานะเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวได้กำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินโจทก์ที่อยู่ในแนวทางหลวงดังกล่าวโดยใช้ราคาตามบัญชีกำหนดจำนวนราคาตลาดเพื่อให้เป็นทุนทรัพย์ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมปี 2522 ถึง 2534 ของกรมที่ดิน ที่ดินส่วนที่ติดถนนเพชรเกษมระยะ 20 เมตร ตารางวาละ 2,600 บาท ที่ดินส่วนที่อยู่ห่างออกไปตารางวาละ 800 บาท ที่ดินโฉนดเลขที่ 45266 ค่าทดแทนตารางวาละ2,600 บาท เนื้อที่ 14 ตารางวาละ 2,600 บาท เนื้อที่ 35 ตารางวาและตารางวาละ 800 บาท เนื้อที่ 1 ตารางวา รวมเป็นเงิน91,800 บาท วันที่ 21 มิถุนายน 2532 จำเลยที่ 1 ได้นำเงินค่าทดแทนที่ดินโจทก์ทั้งสองแปลงที่กำหนดให้ดังกล่าวไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรมหลังจากพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวหมดอายุใช้บังคับแล้ว ต่อมาได้มีพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ แขวงบางแคแขวงบางแคเหนือ แขวงบางไผ่ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานครเพื่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข 340 สายพระประแดง-บางบัวทองตอนบางขุนเทียน-ตลิ่งชัน พ.ศ. 2533 ใช้บังคับในวันที่15 พฤศจิกายน 2533 เวนคืนที่ดินโจทก์ซึ่งอยู่ในเขตแนวทางหลวงตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวที่หมดอายุใช้บังคับแล้ว โดยมาตรา 5ของพระราชบัญญัติฉบับนี้บัญญัติว่า “เงินค่าทดแทนที่จะให้แก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องเวนคืน ให้กำหนดโดยถือเอาราคาในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงพิเศษสายพระประแดง-บางแค-ตลิ่งชัน-บางบัวทองตอนพระประแดง-บางแค-ตลิ่งชัน พ.ศ. 2523 ทั้งนี้ให้คำนึงถึงผลการพิจารณาของเจ้าหน้าที่ซึ่งตีราคาเพื่อประโยชน์แก่การเสียภาษีบำรุงท้องที่ และราคาประเมินทุนทรัพย์ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ตลอดจนสภาพและที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์ประกอบกับเหตุและวัตถุประสงค์ของการเวนคืนเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่สังคม” วันที่ 23 พฤษภาคม 2534โจทก์ได้รับเงินค่าทดแทนสำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 4587 เพียงแปลงเดียวจากกรมบังคับคดีเป็นเงิน 91,800 บาท
ปัญหาตามฎีกาของโจทก์มีว่า เงินค่าทดแทนที่ดินโจทก์ที่ถูกเวนคืนควรเป็นจำนวนเท่าใด โจทก์ฎีกาว่า การนำราคาที่ดินที่ต่ำกว่าท้องตลาดมากและย้อนหลังกลับไปกว่า 10 ปี มากำหนดเป็นค่าทดแทนให้แก่ผู้ถูกเวนคืนในปัจจุบันเท่ากับโจทก์เสียที่ดินไปโดยได้เงินค่าบรรเทาความเดือดร้อนเพียงเล็กน้อย จึงผิดหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกาเห็นว่า การฟ้องคดีนี้สืบเนื่องมาจากอธิบดีกรมทางหลวงซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงพิเศษ สายพระประแดง-บางแคตลิ่งชัน-บางบัวทอง ตอนพระประแดง-บางแค-ตลิ่งชัน พ.ศ. 2533ในฐานะเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ได้กำหนดค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์ เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2528 ซึ่งแม่บทของกฎหมายเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างทางหลวงในขณะนั้นคือประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2515และต่อมาคือพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ. 2530 ในขณะที่ฝ่ายจำเลยกำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์นั้นไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการกำหนดเงินค่าทดแทนไว้เป็นพิเศษในพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฉบับใดโดยเฉพาะฝ่ายจำเลยจึงกำหนดค่าทดแทนให้แก่โจทก์โดยอาศัยหลักเกณฑ์ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 และได้นำเงินค่าทดแทนที่ดินที่กำหนดให้แก่โจทก์ไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดีกระทรวงยุติธรรม เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2532 ซึ่งยังอยู่ในอายุของพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ขั้นตอนการกำหนดค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ในชั้นเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ได้ปฏิบัติไปโดยมีกฎหมายรับรองภายในอายุของพระราชกฤษฎีกาก่อนพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ แขวงบางแคแขวงบางแคเหนือ แขวงบางไผ่ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานครพ.ศ. 2533 มีผลใช้บังคับ ทั้งพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฉบับนี้ไม่ได้บัญญัติให้ใช้หลักเกณฑ์ในมาตรา 5 บังคับแก่การกำหนดราคาเบื้องต้นหรือการวางเงินค่าทดแทนที่ได้ดำเนินการไปแล้วด้วยและฝ่ายจำเลยก็มิได้ดำเนินการกำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์โดยอาศัยพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฉบับดังกล่าวการอุทธรณ์ของโจทก์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมจึงเป็นการอุทธรณ์ว่าการดำเนินการในทางปกครองของเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ที่กำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์โดยอาศัยอำนาจตามพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางพิเศษ พ.ศ. 2523 และประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 นั้นไม่ชอบ กรณีเช่นนี้จึงไม่อาจนำหลักเกณฑ์การกำหนดเงินค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ แขวงบางแค แขวงบางแคเหนือ แขวงบางไผ่ เขตภาษีเจริญกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2533 มาใช้บังคับแก่คดีนี้ จึงต้องถือว่าคดีนี้เป็นกรณีที่ไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการกำหนดเงินค่าทดแทนไว้เป็นพิเศษในพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฉบับใดโดยเฉพาะเงินค่าทดแทนที่จะให้แก่ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทน จึงต้องกำหนดตามแม่บทของกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ได้ความว่า ขณะที่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2515 (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2530และพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530มีผลใช้บังคับ การดำเนินการจ่ายเงินค่าทดแทนตามพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวง พ.ศ. 2523 ยังไม่เสร็จสิ้น เพราะฝ่ายจำเลยยังไม่ได้แจ้งให้โจทก์มารับเงินค่าทดแทนที่ดิน ดังนั้นการดำเนินการต่อไปจึงต้องบังคับตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ซึ่งต่อมาก่อนที่โจทก์จะฟ้องคดีนี้ได้มีประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติฉบับที่ 44 เรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ใช้บังคับแล้ว ตามข้อ 1. ของกฎหมายฉบับนี้ได้แก้ไขหลักเกณฑ์ในการกำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินจากเดิมซึ่งให้กำหนดโดยถือราคาตามมาตรา 21(2) หรือ (3) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 แล้วแต่ราคาใดจะสูงกว่าเป็นเกณฑ์มาเป็นว่า ให้กำหนดโดยอาศัยหลักเกณฑ์ตามมาตรา 21 ทั้งมาตรา และข้อ 5 บัญญัติว่า บทบัญญัติที่แก้ไขดังกล่าวให้มีผลใช้บังคับแก่การเวนคืนซึ่งการอุทธรณ์หรือการฟ้องคดียังไม่เสร็จเด็ดขาดในวันที่ประกาศฉบับดังกล่าวใช้บังคับด้วยดังนั้น การกำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์นั้น ศาลต้องกำหนดโดยคำนึงถึงหลักเกณฑ์ตามมาตรา 21(1) ถึง (5) ประกอบกันแต่เนื่องจากฝ่ายจำเลยเพิ่งนำเงินค่าทดแทนไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กลางภายหลังจากวันพระราชกฤษฎีกาฯ มีผลใช้บังคับเกือบ 10 ปี ทั้งไม่ปรากฏว่าได้แจ้งการวางเงินค่าทดแทนดังกล่าวให้แก่โจทก์หรือไม่อย่างไร ขณะที่โจทก์ทราบการวางค่าทดแทนที่ดินและไปขอรับเงินค่าทดแทนดังกล่าวก็เป็นเวลากว่า 10 ปี นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาฯ มีผลใช้บังคับแล้ว การที่ฝ่ายจำเลยไม่ดำเนินการให้มีการจ่ายเงินค่าทดแทนที่ดินให้แก่โจทก์ภายในเวลาอันควรปล่อยระยะเวลามาเนิ่นนานกว่า 10 ปี เป็นการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามครรลองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521มาตรา 33 วรรคสาม ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่พระราชกฤษฎีกาฯมีผลใช้บังคับ ซึ่งทำให้โจทก์ขาดโอกาสที่จะนำเอาเงินค่าทดแทนที่ดินไปซื้อที่ดินแปลงใหม่ที่มีราคาใกล้เคียงหรือสูงกว่าที่ดินโจทก์ที่ถูกเวนคืนไม่มากนักได้ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ ดังนั้นการที่จะกำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินโจทก์โดยคำนึงถึงมาตรา 21(1)ถึง (5) อย่างกรณีปกติย่อมไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ ขัดต่อหลักการสำคัญของการกำหนดเงินค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องกำหนดเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกเวนคืนและสังคม ปรากฏจากคำเบิกความของโจทก์ตอบทนายจำเลยทั้งสามถามค้านว่า ระหว่างปี 2530 ถึง 2532โจทก์ได้รับค่าเงินทดแทนค่ารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างแล้ว ส่วนเงินค่าทดแทนที่ดินนั้นโจทก์ไม่ยอมรับ ดังนั้น สำหรับคดีนี้ศาลฎีกาจึงเห็นว่า หลักเกณฑ์ที่จะใช้ในการกำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินให้เป็นธรรมแก่โจทก์ผู้ถูกเวนคืนและสังคมด้วย คือหลักเกณฑ์ตามมาตรา 21(1) ถึง (5) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 เว้นแต่วันที่เป็นฐานที่ตั้งสำหรับราคาอสังหาริมทรัพย์เปลี่ยนจากวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกาฯมาเป็นปี 2530 อันเป็นปีที่ฝ่ายจำเลยได้เจรจาเรื่องค่าทดแทนที่ดินกับโจทก์ดังคำเบิกความของโจทก์ดังกล่าว มีปัญหาว่าเงินค่าทดแทนที่ดินโจทก์เมื่อกำหนดโดยคำนึงถึงราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดประกอบราคาที่มีการตีราคาไว้เพื่อประโยชน์แก่การเสียภาษีบำรุงท้องที่ประกอบราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมประกอบสภาพและที่ตั้งของที่ดินโจทก์ตามที่เป็นอยู่ในปี 2530 ประกอบเหตุและวัตถุประสงค์ของการเวนคืน แล้วควรเป็นเงินจำนวนเท่าใดสำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 4587 ที่ถูกเวนคืนเนื้อที่ 36 ตารางวามีสภาพเป็นถนนที่ใช้เป็นทางเข้าออกของที่ดินแปลงอื่น ไม่ปรากฏว่าโจทก์จะนำไปใช้ทำประโยชน์อย่างอื่นที่จะทำให้ที่ดินส่วนนี้มีราคามากกว่าสภาพที่ดินที่เป็นอยู่ดังกล่าวได้ ดังนั้น ราคาค่าทดแทนที่ดินแปลงนี้ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้แก่โจทก์ตารางวาละ 8,000 บาทเนื้อที่ 36 ตารางวา เป็นเงิน 288,000 บาท จึงเหมาะสมกับสภาพของที่ดินแล้ว ไม่มีเหตุที่จะเพิ่มเงินค่าทดแทนที่ดินส่วนนี้ให้แก่โจทก์อีก ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 45266 ศาลฎีกาเชื่อว่าราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดของที่ดินโจทก์โฉนดเลขที่ 45266ตามที่เป็นอยู่ในปี 2530 มีราคาสูงกว่าตารางวา 15,000 บาทที่ศาลอุทธรณ์กำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินโจทก์โฉนดเลขที่ 45266ตารางวาละ 8,000 บาท จึงต่ำเกินไป เมื่อคำนึงถึงสภาพที่ดินโจทก์ดังกล่าวซึ่งอยู่ติดถนนเพชรเกษมอยู่ห่างจากตลาดบางแคเพียงประมาณ 2 กิโลเมตร และเป็นที่ดินแปลงเล็กเนื้อที่เพียง14 ตารางวา กับราคาที่ดินแปลงอื่นที่โจทก์นำสืบดังกล่าวและเหตุอื่น ๆ ตามมาตรา 21 เว้นแต่วันที่เป็นฐานที่ตั้งสำหรับราคาที่ดินเป็นปี 2530 แล้ว เห็นว่า เงินค่าทดแทนที่ดินโจทก์โฉนดเลขที่ 45266 ที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้ตารางวาละ 22,000 บาทเนื้อที่ 14 ตารางวา เป็นเงิน 308,000 บาท นั้น เหมาะสมและเป็นธรรมแก่โจทก์ผู้ถูกเวนคืนและสังคม โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนที่ดินทั้งสองแปลงเพิ่มขึ้นจากที่ฝ่ายจำเลยกำหนดรวมกันแล้วเป็นเงินอีก 467,800 บาท สำหรับเงินค่าทดแทนที่ดินโฉนดเลขที่ 45266 ที่ฝ่ายจำเลยกำหนดและนำไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดีนั้นโจทก์มีสิทธิไปรับเงินค่าทดแทนดังกล่าวได้ต่างหากอยู่แล้ว
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระเงินค่าทดแทนเพิ่มขึ้นให้แก่โจทก์ จำนวน 467,800 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share