คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1983/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยออกเช็คให้ผู้เสียหายด้วยการใช้เช็คของ ส. และส่งชื่อของ ส. เป็นผู้สั่งจ่าย โดยทำให้ผู้เสียหายหลงผิดว่าจำเลย คือ ส. ผู้มีอำนาจสั่งจ่าย เมื่อผู้เสียหายรับเงินตามเช็คไม่ได้เพราะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินดังนี้ ถือได้ว่าจำเลยออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค เป็นความผิดตามมาตรา 3(1) พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ฯ
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 29/2514)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยกระทำผิดฉ้อโกงฐานหนึ่ง และหาว่ากระทำผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คอีกฐานหนึ่ง ความผิดฐานฉ้อโกงยุติเพียงศาลชั้นต้น เมื่อศาลชั้นต้นยกฟ้องข้อหาฐานนี้ คงมีปัญหาต่อมาในชั้นอุทธรณ์ฎีกาเฉพาะ ข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ฯ ซึ่งโจทก์กล่าวฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ ๔ ถึงวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๑๑ วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยร่วมกับพวกที่หลบหนีออกเช็คธนาคารนครหลวงไทย จำกัด หมายเลย เค.๑๔๓๘๐๒ สั่งจ่ายเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท วันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๑๑ โดยจำเลยลงนามนายลีช่งใช้เป็นภาษาจีน และประทับตราชื่อนายสมชาย แซ่ลี้ เป็นผู้สั่งจ่าย มอบให้บริษัทพนาสิทธิอัดน้ำยาไม้เพื่อชำระหนี้ ต่อมาในวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๑๑ บริษัทพนาสิทธิอัดน้ำยาไม้ผู้เสียหายนำเช็คไปเข้าบัญชีธนาคารไทยทนุจำกัด เพื่อเรียกเก็บเงินธนาคารนครหลวงไทย จำกัด ปฏิเสธการจ่ายเงิน ทั้งนี้ โดยจำเลยกับพวกร่วมกันออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น เหตุเกิดที่ตำบลยานนาวา ตำบลจักรวรรดิ์ จังหวัดพระนคร ขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๙๒ และสั่งคืนเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓ จำคุก ๖ เดือน เพิ่มโทษ ๑ ใน ๓ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๒ เป็นจำคุก ๘ เดือน คำขออื่นให้ยก
จำเลยฝ่ายเดียวอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยเซ็นชื่อแทนนายสมชาย แซ่ลี้ สั่งจ่ายเช็คพิพาทโดยเจตนาให้เช็คพิพาทผูกพันนายสมชาย มิได้เจตนาให้ผูกพันตัวจำเลยเอง เพราะเช็คพิพาทเป็นของนายสมชาย และจำเลยไม่มีเงินฝากที่ธนาคาร จะถือว่าจำเลยออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้นไม่ได้ พิพากษากลับ ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัย พิเคราะห์พยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายแล้วน่าเชื่อว่า จำเลยเป็นผู้ลงชื่อสั่งจ่ายเช็คฉบับพิพาท ในชื่อภาษาจีนว่า “ลีช่งใช้” และประทับตราเป็นภาษาไทยว่า “สมชาย แซ่ลี้” ให้ผู้เสียหาย เพราะโจทก์มีนายสงวนและนายประจวบเป็นพยานรู้เห็นต้องกัน ไม่มีเหตุระแวงว่าพยานจะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลย จำเลยอ้างตนเองเป็นพยานปากเดียว ไม่พอรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ตามพฤติการณ์ของจำเลยที่เซ็นชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายในเช็คฉบับพิพาทด้วยตนเอง และการซื้อขายทราบ ผู้เสียหายก็ติดต่อกับจำเลยผู้เดียวตลอดมา ทำให้นายสงวนหลงผิดว่าจำเลยคือนายลีช่งใช้หรือนายสมชาย แซ่ลี้ ผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเช็คนั่นเอง ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า การที่จำเลยลงชื่อนายสมชายเป็นผู้สั่งจ่าย และใช้เช็คของนายสมชายโดยทำให้ผู้เสียหายหลงผิดว่าจำเลยเป็นนายสมชายผู้มีอำนาจสั่งจ่าย แล้วผู้เสียหายไปรับเงินไม่ได้เพราะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เช่นนี้ เป็นการออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓(๑) แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
จึงพิพากษากลับ เป็นให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share